ขึ้นแท่นไอเท็มยอดฮิตแห่งยุคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับยาดมสมุนไพรไทยกระปุกเขียวแบรนด์ ‘หงส์ไทย’ ที่นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก และไม่เพียงสร้างชื่อแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่แบรนด์ไทยแบรนด์นี้ยังเป็นที่นิยมในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ
จนขึ้นแท่นกลายเป็นอีกหนึ่งของฝากที่ติดอันดับ Wish List เมื่อมาเยือนประเทศไทย รวมไปถึงยังถูกใจเหล่าไอดอลและดาราฮลลีวู้ดระดับโลกอย่าง ลิซ่า วง BLACKPINK หรือ คริส เฮมส์เวิร์ธ ที่คนไทยคุ้นเคยกันดีในบทของธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า ในจักรวาลมาร์เวลล์ ก็ยังเอ่ยปากชมถึงความหอมชื่นใจแบบไทยสไตล์นี้ด้วยเช่นกัน
ทำให้วันนี้ ‘หงส์ไทย’ ขึ้นแท่นสินค้า SME ดาวเด่น ในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นอีกหนึ่งตัวแทนของ “เสน่ห์ความเป็นไทยใครๆ ก็หลงรัก” ด้วยยอดขายปี 2566 ที่สูงถึง 350 ล้านบาท
โดยตลอดเส้นทางกว่า 18 ปีของแบรนด์ ‘หงส์ไทย’ กว่าจะได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ ต่างเต็มไปด้วยเรื่องราวและบททดสอบมากมาย โดย คุณเก่ง -ธีระพงศ์ ระบือธรรม ผู้ก่อตั้งและเจ้าของ บริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ได้มาเป็นผู้ถ่ายทอดเพื่อให้เห็น Brand Journey โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต้องเผชิญกับวิกฤต ทั้งจากตัวสินค้า การตลาด หรือการบริหารจัดการ ทางแบรนด์มีวิธีรับมือเพื่อให้สามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ เหล่านั้น และกลายมาเป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่งอย่างในปัจจุบันนี้ได้อย่างไร
ตลอด 18 ปีที่ผ่านมา หงส์ไทยต้องเผชิญกับ 3 วิกฤตหนัก ซึ่งถือเป็น Tipping Point สำคัญของธุรกิจ นำมาสู่การจัดระบบ การวางกลยุทธ์ และการเข้าใจในตัวตนของธุรกิจได้ดีขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วย
1. วิกฤตด้านการบริหารคน : แก้ไขด้วยกลยุทธ์ ‘เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา’
ช่วง 8 ปีแรกในธุรกิจของหงส์ไทย ต้องเผชิญกับปัญหาพนักงานลาออกแบบรายวัน เนื่องจาก มีความขัดแย้ง และแตกแยกกันภายในองค์กร มีความเข้าใจผิดในตัวผู้บริหารและองค์กร โดยสิ่งที่ทำให้ก้าวข้ามผ่านวิกฤตมาได้ คือ การยึดหลักไม่เอาชนะ หรือตอบโต้ความเข้าใจผิดแบบไร้เหตุผล และพยายามใช้ความจริงใจและหลักเหตุผลมาแก้ปัญหา หันหน้ามาพูดคุยกับพนักงานด้วยความจริง เพิ่มทัศนคติเชิงบวก และใช้เวลาในการพิสูจน์ รวมทั้งค่อยๆ บริหารจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ปรับกลุยทธ์การบริหารแบบมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน ‘เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา’ เพื่อให้พนักงานเปิดใจและรู้สึกว่าองค์กรเข้าใจปัญหาและพร้อมช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งที่ได้กลับมาสู่องค์กรคือ พนักงานมีความเข้าใจในองค์กรและพร้อมจะก้าวไปข้างหน้ากับองค์กรในทุกย่างก้าว
และจากการแก้ปัญหาผ่านกลยุทธ์ “เราเข้าใจเขา เขาเข้าใจเรา” ทำให้ในวันนี้ บริษัทไม่มีปัญหาเรื่องบุคลากรไหลออกหรือเกิดความเข้าใจผิดในตัวองค์กรอีกเลย ส่งผลให้ปัจจุบันหงส์ไทยมีพนักงานเก่าที่มีอายุงานมากกว่า 10 ปี ถึงกว่า 200 คน จากพนักงานทั้งหมดที่มีในปัจจุบันราว 500 คน
2. วิกฤติต้นทุนพุ่ง : แก้ปัญหาโดยเน้นการบริหารด้วยเงินสด รู้ความสามารถตัวเอง
ช่วงก่อนสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด 19 ทางบริษัทประสบปัญหาราคาต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูงนานกว่า 30 เดือน จากปกติราคา 1,300 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 2,000 บาทต่อกิโลกรัม โดยต้องยอมขาดทุนและแบกรับต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ด้วยการนำทรัพย์สินที่มีอยู่ไปเปลี่ยนเป็นเงินสด เพื่อนำมาใช้ดำเนินธุรกิจ และสามารถดูแลพนักงานในบริษัทได้ต่อไป รวมทั้งยังมีวิกฤตโควิด 19 เข้ามาซ้ำเติมสถานการณ์ในช่วงเวลานั้นเพิ่มมากขึ้น
“ช่วงสถานการณ์โควิด 19 ยอดขายหงส์ไทยหายไปกว่า 85% ซึ่งบริษัทแก้ปัญหาด้วยการแบ่งเวลาทำงานแบบ ทำ 15 วัน หยุด 15 วัน เป็นเวลาประมาณ 2 เดือน เพื่อสามารถรักษาพนักงานทุกคนไว้ได้โดยไม่ต้องปลดคนออก พร้อมปรับอัตราการจ่ายค่าจ้าง โดยในช่วง 2 เดือนแรก จ่ายค่าจ้าง 50% เดือนที่ 3-4 จ่าย 80% เดือนที่ 5 กลับมาจ่าย 100% และมีการชดเชยแบบให้เปล่านาน 2 เดือน ในช่วงเดือน พ.ย.- ธ.ค. 2563 จนกระทั่งสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติได้ในที่สุด”
วิกฤตดังกล่าว ทำให้หงส์ไทยเรียนรู้ว่า การบริหารจัดการแบบมีเงินทุนหมุนเวียนเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต้องเผชิญกับภาวะยากลำบาก ซึ่งจำเป็นต้องมีเงินสดสำรองให้มากพอ และในปัจจุบันนี้ หงส์ไทยก็ได้ยึดหลักหารบริหารจัดการแบบเงินสดหมุนเวียนทั้ง100% โดยไม่มีการยื่นขอสินเชื่อ เพื่อให้องค์กรประเมินความสามารถที่แท้จริงของตัวเองได้ รวมทั้งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง รวมทั้งพยายามพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นเพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่อง
3. วิกฤตพนักงานขายไร้มาตรฐาน : แก้ปัญหาผ่านการวางมาตรฐานใหม่ พร้อมสร้างความแตกต่าง
พนักงานขายถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับบริษัท แต่ในอดีตที่ผ่านมาบริษัทประสบปัญหาเรื่องความเข้าใจไม่ตรงกันของพนักงาน ทำให้บางครั้ง บางคนมีแนวคิดและเลือกวิธีการทำตลาดโดยไม่เหมาะสม เช่น ใช้วิธีเปรียบเทียบสินค้ากับสินค้าของคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาด ซึ่งสิ่งที่ถูกต้องคือต้องทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าเพราะคุณภาพของตัวสินค้า ไม่ใช่การเปรียบเทียบหรือโจมตีใคร หรือพนักงานขายบางคนก็มุ่งเน้นแต่การสร้างยอดขาย โดยไม่ให้ความสำคัญต่อบริการหลังการขาย การเลือกรับลูกค้า ทำให้ในช่วงแรกไม่สามารถสร้างยอดขายหรือขยายตลาดได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ประกอบกับการเป็นแบรนด์ใหม่ในตลาดที่ยังไม่มีใครรู้จัก
บริษัทจึงแก้ปัญหาด้วยการสร้างมาตรฐานใหม่ให้พนักงานขาย และไม่มีการตั้งค่าคอมมิชชั่น เพื่อลดแนวคิดในการมุ่งสร้างแต่ยอดขายโดยไม่คำนึงถึงเรื่องจรรยาบรรณในการค้าขาย รวมทั้งไม่โจมตีใครเพื่อสร้างยอดขาย เพราะไม่ใช่แนวทางในการเติบโตที่ยั่งยืน
“เรายึดหลักการว่า มาทำการค้า ไม่ใช่การมาหาศัตรูคู่ค้า และพร้อมเปิดรับออร์เดอร์ทั้งใหญ่หรือเล็ก รวมทั้งให้ลูกค้าทดลองนำสินค้าเพียงไม่กี่ชิ้นไปวางจำหน่ายเพื่อทดลองตลาดก่อนได้ เพราะบริษัทต้องการมอบสิ่งที่ดีให้กับคู่ค้าและลูกค้าทุกคน บนมาตรฐานเดียวกัน เพื่อนำมาสู่ความเชื่อใจในตัวสินค้าและองค์กร ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายให้เติบโตเพิ่มมากขึ้นในอนาคตได้”
ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปีที่ 500 ล้านบาท โฟกัสบริการหลังการขาย
หลังหงส์ไทยได้รับโอกาสในการเข้าไปวางจำหน่ายในร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ก็ส่งผลให้ยอดขายและชื่อของแบรนด์หงส์ไทย เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น โดยแผนในปีนี้ได้ลงทุน 60 ล้านบาท ขยายโรงงานแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มกำลังผลิตขึ้นอีกราว 2-3 เท่าตัว จากปัจจุบันมียอดผลิตอยู่ที่ประมาณ 50,000 ขวดต่อวัน พร้อมตั้งเป้ายอดขายสินปี 2567 ไว้ที่ 500 ล้านบาท
พร้อมทั้งวางเป้าหมาย 3 ปีจากนี้ จะเป็นบริษัทในกลุ่มยาใช้ภายนอกของไทยที่มีบริการหลังการขายที่ดีที่สุดในประเทศไทย เช่น สร้างมาตรฐานให้พนักงานขายยึดถือเป็นแนวทางเดียวกันทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องของบริการหลังการขาย และการให้สิทธิพนักงานขายทุกคนสามารถขายได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการใช้กลยุทธ์การขายเรื่อง ลด แลก แจก แถม โดยสินค้าที่ขายไม่หมดหรือขายไม่ได้ ทางบริษัทก็ยินดีที่จะเปลี่ยนให้ เพื่อสร้างให้เกิดเป็นมาตรฐานด้านการบริการที่เป็นแบบแผนเดียวกัน
วันนี้ ยาดมสมุนไพรไทยกระปุกเขียวแบรนด์ “หงส์ไทย” จึงถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ตัวอย่าง ที่แสดงให้เห็นถึง เสน่ห์ความเป็นไทย ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง และไม่ได้ฉายภาพออกมาแค่เพียงตัวผลิตภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนเอกลักษณ์ในการบริหารจัดการธุรกิจและมุมมองการทำงานในแบบไทยสไตล์ออกมาได้อย่างครบถ้วน สมกับการได้รับการยอมรับให้เป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่ทรงพลังของประเทศไทย