เร่งสร้าง​​ ‘Climate Resilience City’ เมื่อ ‘พัฒนาเมือง’ แต่กลับซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม และสภาพอากาศ

สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย แนะมุมมองการสร้าง Urban Climate Resilience ต้องเร่งปรับตัวและเตรียมพร้อมต่อผลกระทบสำคัญที่มักเกิดพร้อมการพัฒนาเมืองคือความเหลื่อมล้ำ ไม่เท่าเทียม และปัญหาสภาพอากาศ 

ดร.ผกามาศ ถิ่นพังงา ผู้อำนวยการโครงการ SUCCESS สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย หรือ TEI กล่าวถึงการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาเมืองตามหลัก ‘Urban Climate Resilience’ บนเวทีเสวนา ‘แนวทางการขับเคลื่อนดำเนินงานด้าน Climate Resilience City เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ’ โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม พร้อมนำเสนอ​แนวคิด หลักการ และการขับเคลื่อนการบริหารจัดการเมืองให้ปรับตัวและเตรียมพร้อมต่อปัญหา​ที่เชื่อมโยงมากับการเติบโตของเมือง โดยเฉพาะปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งถือเป็นประเด็นปัญหาใหม่ และมีความซับซ้อนทั้งทางด้านกายภาพ สังคม และสิ่งแวดล้อม​ และส่งผล​ให้การพัฒนาเมืองในปัจจุบันยิ่งสร้างความเหลื่อมล้ำและไม่เท่าเทียม

การพัฒนาเมืองอย่างไร้ทิศทาง จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงและความเปราะบางของชุมชนมากขึ้น จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเมือง และผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งทางกายภาพ สังคม สิ่งแวดล้อม ความเสี่ยง และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาที่ทำให้เกิดความเปราะบางของเมืองและชุมชนอย่างแท้จริง ดังนั้นในการแก้ปัญหาจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีการทั้ง แนวทางการพัฒนา แผน นโยบาย วิถีปฏิบัติ ซึ่งโจทย์ใหญ่ที่สำคัญคือทำอย่างไรให้เกิดความเป็นธรรมและสร้างความเท่าเทียม

“กระบวนการในการสร้าง “Climate Resilienceเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมทั้งต้องเรียนรู้ทบทวนบทเรียนจากในอดีตและเสริมสร้างองค์ความรู้ใหม่อย่างต่อเนื่อง  ที่สำคัญต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน หากต้องการสร้างเมืองให้เป็น Urban climate resilience หรือ Resilient City จำเป็นต้องมีการสร้างขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (adaptive capacity, climate adaptation) มีการจัดการความเสี่ยง และผลกระทบ จากภัยพิบัติ การวางแผน นโยบาย แนวทางปฏิบัติ และการพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงคนในทุกระดับชั้นและเท่าเทียมกัน มีการเข้าถึงระบบเมืองและโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของคนชายขอบ คนยากจน และกลุ่มคนเปราะบาง และมีการเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนวิถีปฏิบัติและการดูแลกำกับเมือง”

ดร.ผกามาศ กล่างเพิ่มเติมว่า  ​แนวทางสนับสนุนให้เมืองเป็นแบบ Urban climate resilience หรือ Resilient City จำเป็นต้องขับเคลื่อนการเติบโตของ​เมืองควบคู่ไปกับ​การรักษาระบบนิเวศ โดยบูรณาการแนวทางการปรับตัวที่อาศัยระบบนิเวศ (Eco-based approaches: EbA) และแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นฐาน (Nature-based solutions: NbS) โดยให้ความสำคัญกับการดูแลระบบนิเวศ และรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ รักษาแหล่งน้ำอย่างเป็นระบบ และรักษาแหล่งอาหารควบคู่กันไปด้วย​

สำหรับเสวนา แนวทางการขับเคลื่อนดำเนินงานด้าน Climate Resilience City เพื่อมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ จัดขึ้นเพื่อเสริมองค์ความรู้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้าน ‘Climate Resilience City’ ให้ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานชนะเลิศเทศบาลน่าอยู่อย่างยั่งยืนยอดเยี่ยมระดับประเทศ รางวัลถ้วยพระราชทานเทศบาลด้านสิ่งแวดล้อมยั่งยืนยอดเยี่ยมระดับประเทศ และรางวัลชนะเลิศองค์การบริหารส่วนตำบลน่าอยู่อย่างยั่งยืนยอดเยี่ยมระดับประเทศ จำนวน 43 แห่ง ทั่วประเทศ

Stay Connected
Latest News