เมื่อเราอยู่ในยุคสิ้นสุดภาวะโลกร้อน (Global Warming) และกำลังเดินทางเข้าสู่ยุคโลกเดือด (Global Boiling) ยุคที่นำมาสู่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก เกิดวิกฤติภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้มีการสูญเสียระบบนิเวศและปัญหาด้านสุขภาพ ซึ่งสาเหตุหลักๆของภาวะโลกเดือดล้วนเกิดมาจากกิจกรรมและการกระทำของมนุษย์ที่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
องค์การสหประชาชาติ ได้กำหนดให้วันที่ 5 มิถุนายน ของทุกปี เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก (World Environment Day) เพื่อให้ประเทศต่างๆได้ตื่นตัวและหันมาให้ความสนใจดำเนินกิจกรรมที่ช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม สำหรับในประเทศไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้กำหนดประเด็นหลักในการรณรงค์ คือ Land Restoration, Desertification & Drought Resilience และคำขวัญที่ใช้ในการรณรงค์ ได้แก่ “Our land. Our future. We are #GenerationRestoration.” โดยกำหนดเป็นคำขวัญภาษาไทยว่า “พลิกฟื้นผืนดิน สู้วิกฤตภัยแล้ง” เพื่อมุ่งเน้นในเรื่องการฟื้นฟูสภาวะแวดล้อมจากภัยแล้งที่ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในช่วงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น คน พืช สัตว์ ก่อให้เกิดผลกระทบรุนแรงและกว้างขวางต่อทุกภาคส่วนของสังคม ดังนั้น การปรับตัวต่อภัยแล้ง รวมถึงการฟื้นฟูที่ดิน เพื่อพื้นที่ป่าไม้สีเขียว จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ชุมชนและสังคมจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
และปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง และไม่มีคำว่าสายเกินไปถ้าเราช่วยกันลงมือทำ บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหาร เซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่น เดลิเวอรี่ จึงได้เดินหน้าเร่งปลูกต้นไม้จากแคมเปญ “แค่ไม่รับเท่ากับปลูกต้นไม้” ภายใต้โครงการ “ปลูกป่า ปลูกอนาคต” ร่วมกับพาคีเครือข่ายเพาะกล้าไม้ในโครงการฯ ทั้งชุมชน วัด โรงเรียน มหาวิทยาลัย เพื่อนำไปปลูกแล้วกว่า 571,671 ต้น ทั่วประเทศ เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับชุมชนพร้อมปลูกฝังจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับสังคมทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับ “วันสิ่งแวดล้อมโลก” โดยมีเป้าหมายที่จะปลูกต้นไม้ให้ได้ทั้งสิ้น 1 ล้านต้น ภายในปี 2568
นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และ เซเว่น เดลิเวอร์รี่ กล่าวว่า ซีพี ออลล์ มีเป้าหมายการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล หรือ ESG ซึ่งในมิติของด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ซีพี ออลล์ ได้ดำเนินธุรกิจภายใต้นโยบาย 7 Go Green เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชั่วโมง โดยมีเป้าหมายมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)ภายในปี 2593 เป็นไปตามปณิธาน “Giving&Sharing”
“แต่การบรรลุเป้า Net Zero นับว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกัน ซึ่งหนึ่งในวิถีทางสำคัญที่ทุกคนสามารถช่วยกันทำได้ง่ายๆ ก็คือ “การปลูกต้นไม้” เพราะต้นไม้จะช่วยการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศ ซึ่งเป็นก๊าซที่มีสัดส่วนถึงร้อยละ 80 ของก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาด้วยกระบวนการสังเคราะห์แสงของต้นไม้ โดย “ต้นไม้” 1 ต้น สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้เฉลี่ย 9 – 15 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี , สามารถปล่อยก๊าซออกซิเจน (O2) ได้ถึง 200,000 – 250,000 ลิตร/ปี ซึ่งรองรับความต้องการก๊าซออกซิเจนของมนุษย์ได้ถึง 2 คน/ปี อีกทั้งต้นไม้ยังช่วยปล่อยไอน้ำสู่ชั้นบรรยากาศช่วยเพิ่มความชื้นให้กับโลกเพื่อกอบกู้วิกฤตโลกเดือดให้บรรเทาลงได้อีกด้วย ” นายยุทธศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย