หลังประกาศเป้าหมายมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2050 ผู้นำตลาดสีแห่งประเทศไทยอย่าง TOA ได้วางโรดแม็พเพื่อขับเคลื่อนสู่เป้าหมายที่วางไว้ ผ่านการทำงานในทุกมิติ โดยเฉพาะการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดยปัจจุบัน TOA ได้ผ่านการรับรองเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ (CFO) ที่สามารถควบคุมการปลดปล่อยปริมาณกีาซเรือนกระจกจากการดำเนินงานได้ตามมาตรฐาน รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ในกลุ่มสีทาอาคารและแผ่นยิปซัมมากถึง 320 ผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมตลาดสีทาอาคารส่วนใหญ่ในปัจจุบัน อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์สินค้าเรือธงอย่าง สี SuperShield, TOA Organic Care, TOA Shield-1 Nano, 4SEASONS, SUPER MATEX, Expert series (Shield, Pro, Flex) และ TOA 7in1
คุณจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA กล่าวว่า บริษัทจะมุ่งหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องทุกมิติเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดในปีนี้ TOA สามารถรับการรับรองฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือฉลากลดโลกร้อน (CFR) ในกลุ่มสีทาอาคารมากที่สุดในตลาดสีถึง 40 ผลิตภัณฑ์ จากความสามารถในการลด Emission จากฐานเดิมของผลิตภัณฑ์ลงได้ไม่ต่ำกว่า 2%
“ผลิตภัณฑ์ CFR ทั้ง 40 รายการ ถือเป็นสินค้าในกลุ่มเรือธงคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของพอร์ตในยอดขายสินค้า และมีสัดส่วนยอดขายราว 80% ซึ่งบริษัทจะมุ่งหน้าพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น จากการศึกษาตลาดและความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่ม B2B ซึ่งถือว่ามีความเชี่ยวชาญ และติดตามเทรนด์ใหม่ๆ ในตลาดอยู่เสมอ เพื่อสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะเทรนด์ด้านความยั่งยืนที่เข้ามามีบทบาทในตลาดมากขึ้น และเป็นดีมานด์ของทุกภาคส่วนใน Supply Chain ที่วางเป้าหมายขับเคลื่อน Net zero โดย TOA วางกลยุทธ์ 7-Green เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกรจะทุกมิติ ทั้งจากการผลิตสินค้า การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือจากการขนส่ง ซึ่งสามารถลด Emission ได้มากกว่า 31,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (TonCO2e) เทียบเท่ากับการปลูกต้นสักมากกว่า 1,800,000 ต้น โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอีก 20% ภายในปี 2025 และเพิ่มเป็น 50% ภายในปี 2030 เพื่อเป็น Net zero ตามเป้าหมายได้ในปี 2050 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้”
คุณจตุภัทร์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ยกระดับสู่โลกเดือด หรือ Global Boiling ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองหานวัตกรรมที่ช่วยลดอุณหภูมิโลกได้มากขึ้น ซึ่งสี SuperShield จาก TOA มีนวัตกรรม Cooling Paint ที่ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านลงได้กว่า 5.5 องศาเซลเซียส มาแล้วกว่า 45 ปี จากการทำงานร่วมกันของ 3 ส่วนผสมสำคัญ ในสีซุปเปอร์ชิลด์ของ TOA อย่าง ไทเทเนียม แบเรียม และซิลิกา ที่ช่วยทั้งสะท้อนและกระจายความร้อน ทำให้ผนังบ้านไม่อมความร้อนไว้ อากาศภายในบ้านจึงเย็นลง และช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ ซึ่งได้รับการรับรองจากหลากหลายสถานบันทั้งสถาบันวิจัย OTM ประเทศสิงคโปร์ ที่รับรองผลทดสอบว่าสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์ได้อย่างดีเยี่ยม (Solar Reflectance) สูงถึง 97.5% ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ทำการทดสอบประสิทธิภาพในการคายความร้อนออกจากผนังบ้าน (Thermal Emittance) ได้สูงถึง 90% ตามมาตรฐาน ASTM C1371 และยังสามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านให้เย็นลง (Cool Down Temperature) ได้ถึง 5.5 องศาเซลเซียส ด้วยโปรแกรมการทดสอบ Energy Plus
ซึ่งหากคำนวณจากการทาสีซุปเปอร์ชิลด์กับบ้านหนึ่งหลัง พื้นที่ประมาณ 220 ตร.ม. จะสามารถช่วยโลก ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 285 กรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (gCO2e) หรือคิดเป็นการทาสีบ้าน ด้วยสีชุปเปอร์ชิลด์ จำนวน 4 หลัง จะเทียบเท่าการปลูกต้นไม้ได้ถึง 1 ต้น รวมทั้งยังช่วยประหยัดพลังงาน เซฟค่าไฟได้ถึง 9,900 บาทต่อปี
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา TOA ถือเป็นผู้นำเบอร์ 1 ในตลาดสีทาบ้าน ในฐานะผู้ขับเคลื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีสีที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งการเป็นผู้เปลี่ยนวงการตลาดสีทาบ้านจากสีน้ำพลาสติก (PVAC Latex – Poly Vinyl Acetate Copolymer) มาเป็นสีน้ำอะคริลิก (Pure Acrylic 100%) เทคโนโลยีจากอเมริกา มาใช้ในสีซุปเปอร์ชิลด์เป็นรายแรกของไทยที่ปลอดสารโลหะหนัก ปรอท ตะกั่ว และยังเป็นรายเดียวที่กล้ารับประกันการใช้งาน 15 ปี จนกลายเป็นสีทาภายนอก ที่ถูกเลือกใช้มากที่สุดในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ตึกสูง อาคารชั้นนำ และเจ้าของบ้าน นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“ปัจจุบันสินค้ากลุ่มรักษ์โลกในตลาดสีทาบ้าน อาจยังมีไซส์ไม่ใหญ่มากนัก แต่ด้วยปัญหาสภาพอากาศที่รุนแรงและคนเริ่มมีความตระหนักต่อปัญหาเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Developers ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ มีการวางเป้าหมายเรื่อง Net zero อย่างงจริงจังมากขึ้น จึงเชื่อว่า ภายในสิ้นปีนี้ เรื่องของความสามารถในการลดคาร์บอนของสีจะเป็น New Norm ในตลาดที่กลุ่มผู้ประกอบการจะคำนึงถึงเช่นกัน เช่นเดียวกับนวัตกรรมบ้านเย็นและช่วยประหยัดพลังงานซึ่งปัจจุบันมีความสำคัญติด Top 3 ที่กลุ่มผู้ต้องการเลือกซื้อสีทาบ้านจะมองหา ซึ่ง TOA จะเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสามารถตอบโจทย์ความต้องการจากทุกตลาดได้อย่างแท้จริง” คุณจตุภัทร์ สรุปส่งท้าย