ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ชี้การลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียวยกระดับอุตสาหกรรมน้ำตาลไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวอย่างยั่งยืน จะช่วยรับมือกับปัญหา Climate Change ที่ทวีความรุนแรงขึ้น
รวมถึงลดแรงกดดันมาตรการของคู่ค้าที่ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจน้ำตาลในยุค Decarbonization คาดการลงทุนเทคโนโลยีสีเขียวในแต่ละประเภทจะทำให้มี ROI อยู่ที่ราว 20-30% โดยมีระยะเวลาการคืนทุนอยู่ที่ 3-7 ปี และสร้างประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมน้ำตาลได้ราว 1.7 แสนล้านบาท
นายอภินันทร์ สู่ประเสริฐ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย สร้างรายได้จากการส่งออกกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี คิดเป็นสัดส่วนราว 9% ของ GDP ภาคเกษตร แต่เป็นอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษค่อนข้างสูง โดยการปล่อย PM 2.5 สูงถึง 11% ของการปล่อย PM 2.5 ทั้งหมดของไทย และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 9% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดในภาคเกษตร จึงเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่หลายฝ่ายตื่นตัวในการผลักดันให้เร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม ก็จะเป็นหนึ่งใน Sector สำคัญในภาคเกษตรที่จะช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมายการมีส่วนร่วมของประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตาม Nationally Determined Contribution (NDC) ลงไดเ 40% ภายในปี 2030 เพื่อเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2050 และมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2065
“อุตสาหกรรมน้ำตาลเผชิญกับความท้าทายจากปัญหาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและฝุ่น PM 2.5 จากกระบวนการเผาอ้อย การใช้พลังงานความร้อนจำนวนมากในกระบวนการผลิตน้ำตาล โดยการผลิตน้ำตาลของอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยทุกๆ 1 ตัน จะมีการปล่อย Emission ราว 7,150 kgCO2eq หรือเทียบได้กับการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกระยะทางราว 1 หมื่นกิโลเมตร รวมถึงมีของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต ทำให้อุตสาหกรรมน้ำตาลมีความเสี่ยงจากนโยบายและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเข้มงวดมากขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต อาจส่งผลให้ในปี 2589-2598 ผลผลิตอ้อยมีแนวโน้มลดลงราว 25-35% กระทบผู้ประกอบการธุรกิจน้ำตาลของไทยให้เผชิญปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ”
นายกฤชนนท์ จินดาวงศ์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า การปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวจะช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจน้ำตาลลดแรงกดดันจากมาตรการของคู่ค้า และช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนจากการใช้พลังงาน อีกทั้งสามารถระดมทุนได้ง่ายขึ้นและมีต้นทุนทางการเงินที่ลดลง รวมถึงสามารถเพิ่มโอกาสสร้างรายได้เพิ่มจากการต่อยอดไปสู่ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากหน่วยงานรัฐและเอกชนที่ต้องการขับเคลื่อนไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว
โดยการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยขับเคลื่อนสู่ Green Industry สามารถนำไปใช้ในกระบวนการผลิตน้ำตาล ทั้งเทคโนโลยีในช่วงกระบวนการเก็บเกี่ยว (Green Harvesting) ในช่วงกระบวนการผลิต (Sustainability Processing) และในกระบวนการสร้างมูลค่าเพิ่ม (By Product) ดังต่อไปนี้
1. เทคโนโลยีการเก็บเกี่ยวสีเขียว : Green Harvesting
ด้วยการประยุกต์เทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในกระบวนการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อลดผลกระทบได้มากกว่าการเก็บเกี่ยวในรูปแบบเดิม เช่น การใช้รถตัดอ้อยพลังงานไฟฟ้า แทนการเผาอ้อย หรือรถตัดอ้อยเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม คาดว่าใช้เงินลงทุนราว 6 ล้านบาทต่อคัน ระยะเวลาคืนทุน 4-5 ปี และ #ROI ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 21.0%
2. เทคโนโลยีการนำพลังานที่สูญเสียไปกลับมาใช้ประโยชน์ในโรงงาน : Sustainability Processing
เช่น การติดตั้ง Economizer Boiler มาประยุกต์เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งในระบบผลิตไอน้ำ เพื่อนำความร้อนและพลังงานที่สูญเสียในระบบการผลิตซึ่งมีราว 20% กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้ พร้อมทั้งช่วยลดการสร้างก๊าซเรือนกระจกและช่วยประหยัดพลังงานลงได้ราว 1.2 ล้านบาท โดยคาดว่าต้องใช้เงินลงทุนในระบบ 7.2 ล้านบาท ใช้ระยะคืนทุน 6-7 ปี มีผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 16.1%
3. เทคโนโลยีที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม : By Product
นอกจากการผลิต #เอทานอล จากน้ำตาลที่ส่วนใหญ่ดำเนินการอยู่แล้ว การสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีทางเลือกที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้อุตสาหกรรมน้ำตาลได้ ทั้งจากชานอ้อย แกลบ ทะลายปาล์ม และไม้สับ โดยโรงไฟฟ้าชีวมวลกำลังการผลิต 1 MW ใช้เงินลงทุนราว 40 ล้านบาท มีระยะเวลาการคืนทุนที่ 3-4 ปี และมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่ 27.1%
“Green Technology จะเป็น Key enabler ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจน้ำตาลรายกลางที่ยังไม่มีการปรับตัวเรื่องนี้มากนักสามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้รถตัดอ้อยแทนการเผาอ้อย การใช้ Economizer Boiler ในโรงงานน้ำตาล หรือการต่อยอดไปสู่ธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล โดย มี ROI 21.0% 16.1% และ 27.1% ตามลำดับ และระยะเวลาการคืนทุน 3-7 ปี ซึ่งหากอุตสาหกรรมน้ำตาลทั้งหมด 63 โรง มีการยกระดับในการใช้เทคโนโลยีอย่างเป็นรูปธรรมจะทำให้ได้ผลประโยชน์ราว 1.7 แสนล้านบาท จากความคุ้มค่าในแง่สิ่งแวดล้อมที่ช่วยลดมลพิษทางอากาศและประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน รวมถึงสร้างรายได้ส่วนเพิ่มให้แก่ธุรกิจ”
นายปราโมทย์ วัฒนานุสาร นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า หากอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยต้องการประสบความสำเร็จในการยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ควรต้องให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าในการลงทุนเทคโนโลยี และตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดได้ อีกทั้งมี Commitment ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงควรสร้างความร่วมมือกันใน Ecosystem ตั้งแต่เกษตรกรไปจนถึงภาครัฐ เพื่อการพัฒนาไปพร้อมกันทั้งอุตสาหกรรม
“หน่วยงานภาครัฐ ควรเป็นแกนหลักในการผลักดันให้อุตสาหกรรมน้ำตาลไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียว เช่น การพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยให้ได้มาตรฐานระดับสากลอย่าง Gold Standard หรือ VERRA ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์จากตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับภาคการเงินก็เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่มีส่วนช่วยสนับสนุนการลงทุนใน Green Technology รวมทั้งสนับสนุนให้มีการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ จากการเปลี่ยนผ่านด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยทั้งระบบให้สามารถปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมสีเขียวได้อย่างยั่งยืน”