เอสซีจี เผยผลประกอบการ ไตรมาส 1 ปี 2567 ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน ด้วยนวัตกรรมกรีน การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงอานิสงส์จากการท่องเที่ยวคึกคักและเศรษฐกิจในประเทศมีสัญญาณฟื้นตัว
คาดการณ์จากนี้เศรษฐกิจโลกอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง มุ่งปรับแผนธุรกิจ บริหารซัพพลายเชน รับความเสี่ยง พร้อมโตต่อตามแนวทาง Inclusive Green Growth เพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดช่วยลดต้นทุน เร่งเครื่องนวัตกรรมกรีนตอบเมกะเทรนด์โลก มุ่งขยายธุรกิจในตลาดที่มีศักยภาพเติบโตสูง
คุณธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ผลประกอบการเอสซีจี ไตรมาส 1 ปี 2567 มีแนวโน้มดีขึ้น โดยมีรายได้ 124,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 3% โดยมี EBITDA (กำไรก่อนต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย โดยรวมเงินปันผลรับจากบริษัทร่วม) 12,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% และกำไรสำหรับงวด 2,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,559 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
แม้อยู่ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกผันผวน และอุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่ในช่วงอ่อนตัว แต่จากการมุ่งพัฒนานวัตกรรมกรีนให้โดนใจลูกค้า ฟังก์ชันตอบโจทย์การใช้งาน ช่วยลดคาร์บอนซึ่งดีต่อโลก อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำ พลาสติกรักษ์โลก บรรจุภัณฑ์ยั่งยืนที่ใช้ซ้ำ รีไซเคิลได้ เห็นได้จากยอดขาย SCG Green Choice ที่ทำได้ 65,782 ล้านบาท ขยับสัดส่วนมาเป็น 53% ของยอดขาย และเติบโตเพิ่มขึ้น 1,114 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนหน้า
ประกอบกับความสามารถในการลดต้นทุน พัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน ซึ่งในโรงงานปูนซีเมนต์ในไทย ได้เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนได้ถึง 47%
“เอสซีจีเร่งเดินหน้าต่อตามแนวทาง Inclusive Green Growth มุ่งสู่ผู้นำธุรกิจกรีน ควบคู่การสร้างสังคม Net Zero พัฒนานวัตกรรมกรีนเพื่อป้อนตลาดโลก ซึ่งมีความต้องการสูง จึงมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ล่าสุดปูนคาร์บอนต่ำ (เจเนอเรชัน 2) ที่ลดคาร์บอนได้เพิ่มขึ้น 15-20% พร้อมจำหน่ายแล้ว รวมถึงการเร่งขับเคลื่อนรับเศรษฐกิจในประเทศและภูมิภาคที่กำลังฟื้นตัว โดยขยายการลงทุนในตลาดที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอย่างภูมิภาค SAMEA (เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา) ส่วนโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) จะกลับมาเดินเครื่องทดสอบทั้งโรงงาน เพื่อสร้างความพร้อมในการผลิตเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงในไตรมาส 3″
หุ้นปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ยังได้รับเลือกให้ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา เป็นช่องทางใหม่ให้นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้น SCC และผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ
ด้านธุรกิจแพคเกจจิ้ง หรือ SCGP สร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การใช้วัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการวัตถุดิบ การส่งเสริมการปลูกไม้ยูคาลิปตัสแบบครบวงจร เพื่อให้ได้วัตถุดิบคุณภาพและช่วยกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ 31,770 ไร่ จำนวน 152,181 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
พร้อมมุ่งต่อยอดเพิ่มมูลค่าไม้ยูคาลิปตัสผ่านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ด้วยการลงทุน 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ร่วมกับ Origin Materials บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา พัฒนา “Bio–based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ” รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาด นำเทคโนโลยี Machine Learning และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อลดการใช้พลังงานและต้นทุน และสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมรองรับเทรนด์การเติบโตของธุรกิจสีเขียว
ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง มุ่งพัฒนาสินค้าวัสดุก่อสร้างและโซลูชันเพื่อการอยู่อาศัยที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า อาทิ ‘บ้านเอสซีจี ไฮม์ High Ceiling’ แบบบ้านใหม่สไตล์โมเดิร์น มีพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ เพิ่มมุมพักผ่อนกลางบ้าน พร้อมโถงขนาดใหญ่ Double Space และยังคงคุณภาพการก่อสร้างและเทคโนโลยีการอยู่อาศัยแบบเอสซีจี ไฮม์ที่ลูกค้าไว้วางใจ เช่น
– หลังคาเมทัล เอสซีจี รุ่นคลิปล็อค 700 ออกแบบให้ติดตั้งด้วยระบบคลิปล็อค (Clip Lock) ซ่อนหัวสกรู หมดปัญหารั่วซึมบริเวณหัวสกรู เตรียมจำหน่ายไตรมาส 2
– SCG Modeena COFF วัสดุตกแต่งผนังไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่มีส่วนผสมของวัสดุรีไซเคิลจากกระบวนการผลิตและวัสดุเหลือใช้จากธุรกิจอื่นถึง 48% ทดแทนการใช้ Virgin Fiber ลดการปล่อยคาร์บอน แต่คงความแข็งแรง ทนทาน สวยงาม พร้อมกันนี้เตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่
– ONNEX by SCG Smart Living (ออนเนกซ์ บาย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง) ครั้งแรกในงานสถาปนิก 67 รุกธุรกิจสมาร์ทโซลูชันสำหรับบ้านและอาคารเต็มที่ ด้วยการผนึกรวมนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัย ทั้งด้านประหยัดพลังงาน สร้างอากาศสะอาด และเพิ่มความปลอดภัย อาทิ ระบบหลังคาโซลาร์ ระบบปรับคุณภาพอากาศภายในบ้าน และโซลูชันบริหารจัดการการใช้พลังงานในอาคาร
ธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล รุกธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูงอย่างต่อเนื่อง อาทิ ภูมิภาค SAMEA ซึ่งมีค่า GDP เฉลี่ยมากกว่า 70% มีประชากรรวมกันกว่า 40% โดยมีการตั้งสำนักงานของ SCG International ที่ซาอุดิอาระเบีย เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการซัพพลายเชนให้ลูกค้าแบบครบวงจร ผ่านการผลักดันเครือข่ายธุรกิจทั้งหมดของเอสซีจี ครอบคลุมทั้งปูนซีเมนต์ วัสดุก่อสร้าง กระดาษและบรรจุภัณฑ์ ตลอดจนวัตถุดิบและชิ้นส่วนอุตสาหกรรม โดยมีแผนขนส่งสินค้าจากซาอุดิอาระเบียกระจายไปยังหลายประเทศทั่วโลก และจัดหาสินค้าจากภูมิภาคอื่น ๆ เข้ามายังซาอุดิอาระเบียเช่นกัน ขณะที่ในตลาดอาเซียนได้ผลิตสินค้าปูนซีเมนต์ถุงเจาะกลุ่ม Economy Segment ที่เติบโตสูง อาทิ แบรนด์ 5–Star Cement ในกัมพูชา แบรนด์ ADAMAX ในเวียดนาม และแบรนด์ Bezt ในอินโดนีเซีย ในส่วนของธุรกิจรีเทลในประเทศ ได้สร้างการรับรู้สำหรับร้าน เอสซีจี โฮม โดยล่าสุดได้จัดงาน Grand Opening สาขาเมืองขอนแก่น
ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายนวัตกรรมพลาสติกรักษ์โลก ‘SCGC GREEN POLYMERTM’ อย่างเต็มที่ เพื่อคว้าโอกาสรับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่จะมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2567 โดยไตรมาสที่ผ่านมา มียอดขาย 38,000 ตัน โดยทั้งปี 2566 มียอดขาย 218,000 ตัน สอดคล้องตามเป้าหมาย 1 ล้านตันภายในปี 2573
นอกจากนี้ยังผนึกกำลังกับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ โฮมโปร ผลิต ‘เครื่องใช้ไฟฟ้ารักษ์โลก’ ครั้งแรกในไทย ด้วยการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลระบบปิดอย่างครบวงจร เพื่อเปลี่ยนเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง Green Polymer สำหรับผลิตเป็นสินค้าใหม่ นอกจากนี้ ภายใต้บริษัท Sirplaste SA โปรตุเกส พร้อมเปิดตัว ‘SIRPRIME’ เม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูงชนิดไร้กลิ่น หรือ High Quality Odorless PCR HDPE Resin (PCR HDPE) ผลิตจากขยะพลาสติกจากครัวเรือน 100% โดยใช้เทคโนโลยีรีไซเคิลประสิทธิภาพสูงเพื่อกำจัดกลิ่นและสิ่งแปลกปลอม ได้รับการรับรองมาตรฐาน EuCertPlast และ RecyClass ของยุโรป
ขณะที่ ‘โครงการปิโตรเคมีครบวงจร LSP เวียดนาม’ อยู่ในช่วงการประเมินและตรวจสอบเครื่องจักรอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจเรื่องความปลอดภัย คาดว่าจะกลับมาเดินเครื่องจักรทดสอบและพร้อมผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3
ธุรกิจเอสซีจี เดคคอร์ หรือ SCGD ชู 4 กลยุทธ์ดันยอดขายโต 2 เท่า ภายในปี 2573 รับตลาดอาเซียนทยอยฟื้นตัว ได้แก่
1) สร้างการเติบโตให้ธุรกิจตกแต่งพื้นผิวกระเบื้องปูพื้นและบุผนัง ผ่านการดำเนินงานต่าง ๆ อาทิ ขยายการลงทุนโรงงานในพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนาม เพิ่มยอดขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และขยายช่องทางการจำหน่าย
2) ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ในอาเซียน และขยายการลงทุนโรงงานสุขภัณฑ์ใหม่ในอาเซียน ตั้งเป้ายอดขายสุขภัณฑ์เติบโต 2 เท่า หรือกว่า 10,000 ล้านบาท
3) ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจร และเพิ่มโอกาสขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง
4) ลงทุนและเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในธุรกิจหลักของบริษัท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังเน้นลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตควบคู่กันไป อาทิ โครงการติดตั้ง Hot Air Generator เพื่อลดต้นทุนพลังงานที่โรงงานในไทยอีก 2 แห่ง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมนี้ และโครงการปรับปรุงสายการผลิตกระเบื้องไวนิล SPC ซึ่งจะเริ่มผลิตสินค้าป้อนตลาดในไทยได้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 ด้วยกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี
ธุรกิจเอสซีจี คลีนเนอร์ยี่พลังงานสะอาดครบวงจร เติบโตต่อเนื่องตามเมกะเทรนด์โลกที่หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ผนวกกับการสนับสนุนของภาครัฐ ทำให้ตลาดพลังงานสะอาดในประเทศขยายตัวสูง โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 511 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้น 13% จากสิ้นปี 2566 จากความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนจัดทำโครงการซื้อขายไฟฟ้าใหม่ ๆ โดยปีนี้ตั้งเป้ากำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 200 เมกะวัตต์ สำหรับการซื้อขายไฟฟ้ากับภาคเอกชน
ส่วน ‘นวัตกรรมแบตเตอรี่กักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาด’ ที่เป็นความร่วมมือกับ Rondo Energy สหรัฐอเมริกา เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่มีศักยภาพในการทำตลาดในอาเซียน จึงเป็นโอกาสในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวเข้าสู่ตลาดอาเซียนในช่วงแรก และจะขยายไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ที่เหมาะสมต่อไป
ขณะเดียวกัน บริษัทสยามอุตสาหกรรมวัสดุทนไฟ จำกัด ได้ร่วมมือกับ Rondo Energy พัฒนาการผลิต ‘วัสดุกักเก็บความร้อน (Thermal Media)’ เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นวัสดุหลักสำหรับใช้ในแบตเตอรี่กักเก็บความร้อน (Heat Battery) โดยสามารถขยายกำลังการผลิตวัสดุกักเก็บความร้อน ได้ถึง 12,000 ตันต่อปี ในปลายปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับการขยายธุรกิจแบตเตอรี่กักเก็บความร้อน
นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เศรษฐกิจโลกยังเผชิญจากความเสี่ยงจากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง แต่เศรษฐกิจไทยน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นจากการท่องเที่ยว การลงทุนของต่างชาติ การอนุมัติงบประมาณปี 2567 ของภาครัฐที่จะเริ่มเบิกจ่ายในเดือนเมษายน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ เช่น การลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง ลดหย่อนภาษีเงินได้ และปล่อยสินเชื่อให้กู้ซื้อบ้านสำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ และเป็นที่น่ายินดีที่ภาครัฐให้ความสำคัญเรื่องกรีน ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเสนอพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายในปีนี้ การสนับสนุนโครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ให้เป็นเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย หากมีการผลักดันการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว (Green Procurement) ก็จะเป็นต้นแบบให้องค์กรอื่น ๆ ปฏิบัติตาม ซึ่งจะยิ่งช่วยกระตุ้นแนวคิดเรื่องกรีนให้เป็นรูปธรรม ลดภาวะโลกเดือดได้ รวมทั้งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว”
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2567 ของแต่ละหน่วยธุรกิจ ประกอบด้วย
– ธุรกิจเคมิคอลส์ หรือ SCGC มีรายได้จากการขาย 45,376 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 2% และลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายลดลงตามอุปสงค์ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่ยังอ่อนตัว จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ดำเนินอยู่และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงการหยุดโรงงานระยองโอเลฟินส์ (ROC) เพื่อซ่อมบำรุง
– ธุรกิจเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชัน มีรายได้จากการขาย 21,399 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 6% เนื่องจากเป็นฤดูกาลของการขาย แต่ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามภาพรวมตลาดปูนซีเมนต์โดยรวมในประเทศที่หดตัวลง
– ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และธุรกิจเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้จากการขาย 38,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 6% เนื่องจากเป็นฤดูกาลของการขาย ส่งผลให้ยอดขายสินค้าวัสดุก่อสร้างและธุรกิจดิสทริบิวชั่นปรับตัวดีขึ้น แต่ลดลง 3% (YOY) เนื่องจากยอดขายที่ลดลงตามภาพรวมตลาดสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่หดตัว
– ธุรกิจแพคเกจจิ้ง หรือ SCGP มีรายได้จากการขาย 33,948 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 6% จากความต้องการบรรจุภัณฑ์โดยเฉพาะในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภคเติบโตได้ดี และแรงหนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การเตรียมสินค้าก่อนช่วงวันหยุดยาว นโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐในประเทศไทย และการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในประเทศอินโดนีเซีย ประกอบกับการปรับตัวที่ดีขึ้นของภาคส่งออกในอาเซียน
– ธุรกิจเอสซีจี เดคคอร์ หรือ SCGD มีรายได้ 6,784 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อน EBITDA และกำไร เพิ่มขึ้นเป็น 854 ล้านบาท และ 258 ล้านบาท ตามลำดับ จากความต้องการของตลาดในประเทศเวียดนามอ่อนตัวลงจากวันหยุดยาวช่วงปีใหม่(TET) ในขณะที่ยอดขายจากประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากการที่บริษัทสามารถยืนราคาขายสินค้ากระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ได้ การเพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าที่มีกำไรสูง การทำโครงการลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตต่าง ๆ และการที่ต้นทุนพลังงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง