ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS แนะภาคธุรกิจเร่งปรับใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน รับมือความท้าทายจากกฎเกณฑ์ประเทศคู่ค้า สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน และตอบโจทย์การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ชี้ในอีก 6 ปีข้างหน้าเศรษฐกิจหมุนเวียนจะเพิ่มรายได้ทั่วโลกสูงถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ชู “การเงินเพื่อความยั่งยืนและการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน” เป็นฟันเฟืองสำคัญช่วยธุรกิจปรับตัว
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) เป็นเมกะเทรนด์โลกที่กำลังมาแรง ในยุคที่ทุกฝ่ายต่างมองหาการเติบโตที่ยั่งยืน และสร้างภูมิคุ้มกันจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ และต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง จากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกแบ่งขั้ว
สะท้อนจากผลสำรวจผู้ประกอบการรายใหญ่ทั่วโลกต่อการยึดมั่นในแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ผู้ประกอบการไทย จึงควรเร่งปรับตัวสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อสร้างโอกาส และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมเมกะเทรนด์ดังกล่าว
“แม้ภาคธุรกิจจะให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจหมุนเวียน แต่ยังมี Room ที่จะพัฒนาได้อีกมาก สะท้อนผ่านผลสำรวจ Bain & Company ที่ชี้ว่า 55% ของธุรกิจขนาดใหญ่ทั่วโลกได้ยึดหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนในการขับเคลื่อนธุรกิจ แต่เมื่อดูในรายละเอียดเชิงลึกกลับพบว่า บริษัทที่ใช้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนส่วนใหญ่กว่า 60% มุ่งเน้นเพียงแค่การรีไซเคิลและ Wste Management เป็นหลักยังไม่ครอบคลุมในอีกหลากหลายมิติของเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีอายุยาวนานมากขึ้น หรือการปรับโมเดลธุรกิจสู่ “Products as a service” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากการซื้อขายขาดเป็นบริการในรูปแบบการเช่า เป็นต้น สอดคล้องกับ รายงาน Circularity Gap ที่พบว่าอัตราเศรษฐกิจหมุนเวียนของทั้งโลกในปี 2566 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 7.2% จาก 9.1% ในปี 2561 ส่วนหนึ่งจากการบริโภคที่สูงขึ้นตามการเติบโตของสังคมเมือง”
1. กฎระเบียบทั่วโลกกำลังพุ่งเป้ามุ่งเน้นเรื่องนี้ โดยเฉพาะยุโรปที่เริ่มบังคับใช้กฏเกณฑ์การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยินฉบับใหม่ (CSRD : Corporate Sustainability Reporting Directive ) ในปี 2567 นี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รวมปัจจัยด้าน Circular Economy เข้าไป ทำให้สร้างความท้าทายต่อผู้ส่งออกไทย เพราะคาดว่าจะมีผลกระทบกับบริษัทมากถึง 50,000 แห่ง รวมท้ังอีก 2-3 ปีข้างหน้า ยุโรปอาจบังคับใช้มาตรการ Digital Product Passport ที่กำหนดให้ผู้ผลิตต้องเผยแพร่ข้อมูลผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคทราบ ซึ่งครอบคลุมด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนด้วย เป็นปัจจัยท้าทายต่อผู้ส่งออกของไทย
2. Circular Economy จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ผู้ประกอบการ ทั้งช่วยลดต้นทุน ช่วยเพิ่มรายได้ และโอกาสในการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น เพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนจากการลดการใช้วัสดุในการผลิตลง 28% เพิ่มรายได้ท่ัวโลกมากขึ้นถึง 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573 และช่วยลดก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกได้ถึง 39%
3. ประเทศไทยยังมี Gap ด้าน Circular Economy ที่สามารถพัฒนาได้อีกมาก สะท้อนได้จากอัตราการนำของเหลือทิ้งไปใช้ซ้ำหรือรีไซเคิลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของไทยซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 33% ต่ำกว่ายุโรปและเกาหลีใต้ ที่อยู่ในระดับ 46% และ 60% ตามลำดับ โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ สื่อและสิ่งพิมพ์ ของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ซึ่งมีอัตราต่ำกว่า 10%
ทั้งนี้ Sustainable และ Transition Finance จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้ภาคธุรกิจปรับตัวสู่ Circular Economy และธุรกิจสีเขียวได้เร็วขึ้น โดย คุณณัฐพร ศรีทอง นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ในปี 2566 ที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนราว 9.84 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ในไทยอยู่ที่เกือบ 1.8 แสนล้านบาท และคาดว่าในระยะข้างหน้าจะขยายตัวมากขึ้น จากเทรนด์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emission) เช่น
– ญี่ปุ่นวางแผนจะออก Transition bond มูลค่า 20 ล้านล้านเยน หรือ 1.35 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอีก 10 ปีข้างหน้า
– ขณะที่ในไทยมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมจากการเปิดตัวกองทุน “Thai ESG” รวมถึงภาคธนาคารไทยเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางเงินที่สนับสนุนภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Transition Finance Product) ในช่วงต้นไตรมาส 3 ของปี 2567 นี้
“ผู้ประกอบการไทยควรเร่งปรับตัวรับความท้าทายจากกฎเกณฑ์ของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูล เช่น ข้อมูลการใช้ปัจจัยการผลิตรีไซเคิล และข้อมูลการบริหารจัดการของเหลือทิ้ง ตลอดจนปรับตัวเพื่อแสวงหาโอกาสใหม่ๆ รวมถึงพิจารณาระดมทุนผ่าน Sustainable และ Transition Finance ขณะที่ภาครัฐควรมีมาตรการสนับสนุน เช่น มาตรการจูงใจ สนับสนุนองค์ความรู้แก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่ม SME และมาตรการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น”