ยุโรป ออกกฏเข้ม เซ็ตมาตรฐาน ​​​’Zero-emission Buildings’ ภายในปี 2050 ​เร่งลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมแก้​พลังงานขาดแคลน

สภาแห่งสหภาพยุโรป ​ออกประกาศ​ฉบับปรุงปรุงเกี่ยวกับประสิทธิภาพด้านพลังงานของอาคารต่างๆ ​เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมาย​ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) และแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงานภายในทวีปยุโรป

สร้างมาตรฐานอาคาร Zero-emission ภายในปี 2050

ปัจจุบันปริมาณก๊าซเรือนกระจกราว 1ใน 3 ในทวีปยุโรป ถูกปลดปล่อยออกมาจาก​การใช้พลังงานจากอาคารต่างๆ นำมาสู่การประกาศมาตรฐานในการก่อสร้างอาคารใหม่​ เพื่อให้ตึกใหม่ทั้งหมด ​เป็น Zero-emission Buildings หรือมีการปลดปล่อย GHG เป็นศูนย์ ภายในปี 2030 และจะทยอยปรับปรุงอาคารที่ก่อสร้างมาก่อนหน้านี้ เพื่อปรับเปลี่ยนไปสู่อาคาร Zero-emission ภายในปี 2050

มาตรฐานใหม่นี้ จะนำไปใช้บังคับใน​กลุ่ม Non-residential หรืออาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัยด้วยเช่นกัน โดยจะกำหนด​มาตรฐานขั้นต่ำ​ที่แต่ละอาคารจะสามารถใช้พลังงานได้ในแต่ละปีตามสัดส่วนพื้นที่ต่อตารางเมตร เพื่อป้องกันการใช้พลังงานเกินกำหนด ตามประกาศฉบับใหม่ที่ได้ระบุไว้ ซึ่ง​จะเข้าไปปรับปรุงกลุ่ม Non-residential ​ที่ยังใช้พลังงานเกิน​กำหนดให้ลดการใช้พลังงานลง​กว่า 16% ภายในปี 2030 และจะเพิ่มเป็นมากกว่า 26% ภายในปี 2033 เพื่อสามารถควบคุมการใช้พลังงานของอาคารทั้งหมดให้เป็นไปตามข้อกำหนดได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีข้อยกเว้นอาคารบางกลุ่ม เช่น อาคารด้านประวัติศาสตร์ สถานที่สักการะ หรืออาคารภายใต้การดูแลของกองทัพ เป็นต้น

สำหรับอาคารกลุ่มที่พักอาศัย (Residential) ยังมีสัดส่วนราว 43%  ที่ยังมีการใช้พลังงานเกินอยู่ในระดับสูง (worst performing) โดยตั้งเป้าจะลดการใช้พลังงานในกลุ่มนี้ลง 16% ภายในปี 2030 และเพิ่มเป็น 20-22% ภายในปี 2035 โดยคาดว่าจะสามารถลดการใช้พลังงานลงได้อย่างน้อย 55%  รวมทั้งจะ​ให้ความช่วยเหลือในช่วงเปลี่ยนผ่าน ทั้งทางเทคนิค และมาตรการสนับสนุนทางการเงินต่างๆ โดยเฉพาะใน​กลุ่มครัวเรือนเปราะบาง

Photo : ESG NEWS

ตั้งเป้ายุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในอาคาร 

สำหรับเป้าหมายที่วางไว้ให้กลุ่มอาคารต่างๆ ปฏิบัติร่วมกันในระดับชาติ คือ การยุติใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล สำหรับการผลิตพลังงานในกลุ่มอาคารต่างๆ  ​ภายในปี 2040 ​โดยเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด เช่น การติดต้ังแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับการก่อสร้างอาคารใหม่ และการปรับปรุง Non-residential ​ตามที่ได้รับอนุญาต รวมทั้งการเร่งติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ สำหรับภาคการเดินทางขนส่ง เช่น จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จุดจอดจักรยาน รวมไปถึงการวางท่อหรือสายเคเบิล เพื่อรองรับการขยายโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพิ่มเติมในอนาคต

ทั้งนี้ ปัจจุบันได้มีการลงนามในกฏระเบียบเหล่านี้แล้ว และจะทำการเผยแพร่คำสั่งดังกล่าวในวารสารทางการของสหภาพยุโรป โดยที่ประเทศสมาชิกจะมีเวลา​ 2 ปี ในการรวมบทบัญญัติของคำสั่งดังกล่าวเข้ากับกฎหมายของแต่ละประเทศ และทางคณะกรรมาธิการจะนำมาพิจารณาและทบทวนหลังจากนั้น ภายในปี 2028 เพื่อประเมินพัฒนาการและผลตอบรับต่างๆ จากการนำไปปรับใช้​จริง

Source

Stay Connected
Latest News