แม้ในตลาดน้ำดื่มขณะนี้จะมีกระแส ‘ขวดใส’ ที่หลายๆ แบรนด์ทั้งรายใหญ่และเล็กเข้ามาขับเคลื่อน เพื่อประกาศเจตจำนงในการมีส่วนช่วยลดการใช้พลาสติก แต่สำหรับ ‘มิเนเร่’ เลือกเดินในทางของตัวเอง ผ่านการใช้ขวด rPET ที่ลดปริมาณพลาสติกใหม่ หรือ Virgin Plastic ลงจากเดิมได้ถึง 50% และทั้งพอร์ตโฟลิโอของแบรนด์ได้ใช้ขวดจากพลาสติกรีไซเคิล หรือ rPET ในน้ำดื่มทุกขนาดที่มีการวางจำหน่ายในประเทศไทยครบถ้วนแล้ว
คุณวิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า และ คุณนาริฐา วิบูลยเสข ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ให้ข้อมูลร่วมกันว่า หลังมิเนเร่นำร่องเป็นรายแรกในตลาดน้ำดื่มของไทย ด้วยการใช้ขวด rPET ขนาด 750 มิลลิลิตร เมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับที่ดี รวมทั้งยังคงสามารถรักษาความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคไว้ได้ จึงได้ขยายการใช้ขวด rPET มาสู่สินค้าทุก SKU ที่มีการทำตลาดในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น 330 มิลลิลิตร, 500 มิลลิลิตร, 750 มิลลิลิตร และ 1.5 ลิตร
น้ำแร่มิเนเร่ จึงถือเป็นน้ำดื่มแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวในตลาดน้ำดื่มประเทศไทย ที่ใช้ขวดพลาสติกรักษ์โลก หรือ rPET ได้ครบทั้งพอร์ตโฟลิโอ โดยได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพ ความปลอดภัย และความสะอาดจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทั้งในประเทศไทยและเม็ดพลาสติกที่ได้รับการรับรองจาก อย. สหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
ส่วนกระแสในตลาด ที่หลายแบรนด์เลือกการเปิดตัวขวดใสเพื่อขับเคลื่อนเรื่องของความยั่งยืนนั้น ทางมิเนเร่มองว่าแนวทางดังกล่าวยังไม่ตอบโจทย์เป้าหมายในการลดปริมาณการใช้พลาสติกตามนโยบายของ Nestle ที่ต้องการลดการใช้พลาสติกลง 1 ใน 3 ภายในปี 2025 เพื่อสามารถบรรลุเป้าหมาย Net zero ภายในปี 2050
เนื่องจาก หากลดการใช้พลาสติกที่นำมาผลิตเป็นฉลากข้างขวดจะช่วยลดปริมาณพลาสติกลงได้ราว 200 – 250 ตันเท่านั้น ขณะที่การหันมาใช้ ขวดบรรจุภัณฑ์ rPET จะสามารถช่วยลดการใช้พลาสติกใหม่ลงได้ถึง 6 พันตัน ภายในปี 2024 นี้ เทียบเท่าน้ำหนักวาฬ 3.5 หมื่นตัว รวมทั้งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 4,800 ตัน (CO2e) เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 8 แสนต้น ซึ่งไม่เพียงเป็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน แต่ยังเป็นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและคืนอากาศบริสุทธิ์ให้โลกอีกด้วย
“แม้ปัจจุบันมิเนเร่ รวมทั้งเนสท์เล่ จะยังไม่ได้เลือกใช้แนวทางการผลิตขวดใสที่ไม่มีฉลากพลาสติก แต่ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตเราจะไม่ดำเนินการในทิศทางนี้ แต่ปัจจุบันเราต้องการแนวทางที่สามารถลดการใช้พลาสติกได้อย่างมีนัยสำคัญสอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งมีแผนเพิ่มปริมาณการใช้พลาสติกรีไซเคิลในการนำมาผลิตขวด rPET ในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคตอีกด้วย”
สร้างพฤติกรรม ‘บิดก่อนทิ้ง’ เพิ่มทั้ง Educated และ Engagement
หนึ่งปัญหาสำคัญของการบริหารจัดการขยะพลาสติกของไทย คือการที่บรรจุภัณฑ์พลาสติกต่างๆ หลุดรอดออกจากระบบกลายเป็นขยะไปตกค้างอยู่ในธรรมชาติ หรือไหลลงสู่ทะเล ซึ่งตามรายงานของ IUCN (International Union for Conservation of Nature) พบว่า ประเทศไทยมีอัตราการจัดเก็บขวด PET อยู่ที่ 87% แต่สามารถนำกลับเข้าสู่ระบบรีไซเคิลได้ไม่ถึงครึ่งเพียงแค่ 37% เท่านั้น รวมทั้งมีการจัดการอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันการรั่วไหลราว 17% โดยยังพบการจัดการที่ไม่เหมาะสมทำให้เกิดการรั่วไหลของขยะได้ราว 15% ขณะที่สัดส่วนอีก 13% ยังไม่ได้ถูกจัดเก็บ
“อัตราส่วนการจัดเก็บขวด PET ในประเทศไทยถือว่าอยู่ในระดับสูง แต่ยังสามารถนำกลับเข้าสู่ระบบได้ค่อนข้างน้อย สะท้อนว่าประเทศไทยยังจำเป็นต้องมีการ Educated ในเรื่องของการรีไซเคิลอีกมาก เพราะแม้จะมี Awareness ที่สูง แต่ Engagement ยังต่ำอยู่ จึงเป็นที่มาของภารกิจในการเพิ่มการมีส่วนร่วมจากผู้บริโภคที่นอกจากรณรงค์การเลือกบรรจุภัณฑ์ rPET เพื่อลดปริมาณพลาสติกลงได้ 50% แล้ว ยังได้เปิดตัวโครงการ “Crush On You..มา Crush บิดบอกรักษ์ให้โลกรู้” เพื่อสื่อสารผ่าน Emotional ชวนให้ผู้บริโภคมาร่วมบิดขวดน้ำดื่มก่อนทิ้ง เพื่อเพิ่มพื้นที่ในถังขยะรีไซเคิลให้มากขึ้นกว่า 5 เท่า รวมท้ังรณรงค์การทิ้งขยะอย่างถูกต้อง และให้ความสำคัญกับการแยกขยะไปพร้อมกัน เพื่อเป้าหมายในการเพิ่มปริมาณขวดพลาสติกที่สามารถเข้าสู่ระบบรีไซเคิลได้มากยิ่งขึ้น”
สำหรับแคมเปญ “Crush On You..มา Crush บิดบอกรักษ์ให้โลกรู้” ทางมิเนเร่วางงบในการสื่อสารไว้ราว 50 ล้านบาท เพื่อสร้างการรับรู้ตลอด 3 เดือน เพื่อต่อยอดการสร้างผลกระทบเชิงบวกหลังจากเปิดตัวขวดรักษ์โลกเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ด้วยการเพิ่มการมีส่วนร่วม พร้อม Educated เรื่องของการแยกขยะ และการรีไซเคิล โดยมีเป้าหมายสร้างพฤติกรรมการบิดขวดน้ำดื่มก่อนทิ้งได้ 1 ล้านขวดภายในสิ้นปีนี้
เพราะทุกครั้งที่ผู้บริโภคเริ่มต้นบิดขวด จะตามมาด้วยการมองหาถังขยะรีไซเคิล และการที่ถังขยะรีไซเคิลไม่เต็มเร็ว ก็จะลดโอกาสการทิ้งปะปนในถังประเภทอื่นหรือหลุดรอดออกนอกระบบ ขณะเดียวกันยังเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขยะและการขนส่งโดยภาพรวม ซึ่งมีส่วนช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้อีกทางหนึ่งด้วย
นอกจากนี้ในแคมเปญยังมีกิจกรรม AR Filter ชวนผู้บริโภคมาสนุกกับการบอกรักให้กันง่ายๆ แค่บิดขวด และส่งรักผ่านจอบิลบอร์ดเป็นครั้งแรกในไทยกว่า 230 จอทั่วกรุงเทพฯ รวมทั้งออกขวดมิเนเร่รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นใหม่ที่มีคำบอกรักเก๋ ๆ แบบไม่ซ้ำใคร ให้ผู้บริโภคได้ส่งรักให้กันและส่งรักษ์ให้โลกอีกด้วย
มิเนเร่ยังได้สานต่อความร่วมมือโคงการ “BOTTLE MADE FROM BOTTLES คืนชีวิตให้ขวดพลาสติกกับน้ำแร่มิเนเร่” ปีที่ 2 กับเซเว่น อีเลฟเว่น และ GC YOUเทิร์น แพลตฟอร์มบริหารจัดการพลาสติกใช้แล้ว ต่อยอดการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาปรับใช้และขยายผลสู่ภาคสังคม เพิ่มความสะดวกด้วยการเพิ่มจุดทิ้งพลาสติกเป็น 100 จุดที่เซเว่น อีเลฟเว่น ทั่วกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นปี 2567 เพื่อรวบรวมพลาสติกใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล หมุนเวียนทรัพยากรคืนชีวิตให้กลับมาเป็นขวดน้ำใหม่ และพร้อมเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเป็นส่วนหนึ่งที่บอกรักษ์โลกร่วมสร้างคุณค่าให้ขยะพลาสติกกลับมาสร้างประโยชน์ได้แบบไม่รู้จบ