thredUP แพลตฟอร์มขายเสื้อผ้ามือสองออนไลน์ ที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิด Resale-as-a-Service (RaaS) เพื่อเป็นผู้ช่วยในการขายสินค้ามือสองให้กับแบรนด์ต่างๆ เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซแบบดั้งเดิมไม่มีระบบรองรับความซับซ้อนในการขายต่อ
ทั้งนี้ thredUP เผยผลศึกษา Resale Report ประจำปี 2023 ระบุว่า สินค้าเครื่องแต่งกายมือสองทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 3 เท่า ของสินค้าปกติทั่วไป โดยคาดว่ามูลค่าตลาดจะเติบโตเกือบ 2 เท่าตัวภายในปี 2027 หรือในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่ามูลค่าจะแตะ 3.51 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (USD) เพิ่มขึ้นจาก 1.77 แสนล้านUSD ในปี 2022 และคาดว่ามูลค่าจะขยับมาอยู่ที่ราว 2.11 แสนล้านUSD และ 2.48 แสนล้านUSD ในปี 2023 และ 2024 ตามลำดับ
ขณะที่มูลค่าตลาดเครื่องแต่งกายมือสองในสหรัฐฯ คาดว่าจะแตะ 7 หมื่นล้านUSD ภายในปี 2027 จากมูลค่าในปี 2022 ที่ราว 3.9 หมื่นล้านUSD โดยมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแรงและต่อเนื่องที่ 26% และ 33% ในปี 2023 และ 2024 ตามลำดับ
ขณะที่การเติบโตของเสื้อผ้ามือสองสูงกว่าสินค้าปกติถึง 9 เท่า ซึ่งผู้บริโภคในสหรัฐฯ เกินครึ่ง หรือ 52% ได้มีการซื้อเสื้อผ้ามือสองในปี 2022 ที่ผ่านมา ขณะที่ 75% เคยซื้อหรือเปิดใจให้กับการซื้อเสื้อผ้ามือสองแล้ว และมี Gen Z ถึง 85% ที่เคยซื้อและเปิดใจให้กับเสื้อผ้ามือสอง รวมทั้งจำนวนเสื้อผ้าถึง 1 ใน 3 ที่ถูกจำหน่ายในปี 2022 เป็นการจำหน่ายเสื้อผ้ามือสอง
ทั้งนี้ การซื้อขายเสื้อผ้ามือสองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 21% ตลอด 5 ปีข้างหน้า พร้อมคาดมูลค่าซื้อขายผ่านออนไลน์จะสามารถแตะ 3.8 หมื่นล้าน USD ภายในปี 2027 โดยมีกลุ่ม GenZ เป็นกลุ่มหลักในการขับเคลื่อนการเติบโต โดยพบว่า 58% ของ GenZ ที่ซื้อเสื้อผ้ามือสองในรอบปีที่ผ่านมานี้ และมีการซื้ออย่างน้อยหนึ่งครั้งที่ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งมากกว่าเจนเนอเรชั่นอื่นๆ พร้อมทั้งยังพบว่า เสื้อผ้า 2 ใน 5 ชิ้นของ GenZ จะเป็นสินค้ามือสอง
Gen Z กลุ่มหลักขับเคลื่อนตลาด Resale
สำหรับปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดเสื้อผ้ามือสอง อันดับ 1 ยังคงเป็นเรื่องของราคา (Value) ตามมาด้วยคุณภาพ (Quality) การแนะนำ (Selection) ความสะดวก (Convenience) และความโปร่งใส (Transparency) ขณะที่ปัจจัยด้านความยั่งยืน ติดอันดับ TOP5 ที่ทำให้กลุ่มเจนเนอเรชั่น Z ตัดสินใจเลือกซื้อเสื้อผ้ามือสอง โดย 47% ที่จะปฏิเสธการซื้อเสื้อผ้าจากแบรนด์ที่ไม่ยั่งยืน ด้วยคะแนน 47 คะแนน เพิ่มมากขึ้นจาก 11 คะแนน ในปี 2021 ขณะที่เรื่องของเทรนด์ เป็นปัจจัยที่มีคะแนนต่ำที่สุดที่ช่วยกระตุ้นการซื้อ เนื่องจาก 56% ของ GenZ และมิลเลเนียล จะไม่ซื้อเสื้อผ้าตามเทรนด์ล่าสุด แต่จะนิยมเสื้อผ้าที่เป็นตัวเองและไม่ซ้ำกับใคร (one-of-a-kind Look)
นอกจากนี้ 58% ของ GenZ เชื่อว่าเสื้อผ้าภายในตู้ของพวกเขามีผลกระทบต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เทียบกับเจนเนอเรชั่นอื่น ที่มีสัดส่วน 43%
63% ของ GenZ เชื่อว่า พวกเขาสามารถลดการสร้างคาร์บอนฟุนพรินท์ของตัวเองลงได้ เทียบกับเจนเนอเรชั่นอื่น ที่มีสัดส่วน 55%
และ 61% ของ GenZ ตั้งใจที่จะให้ไลฟ์สไตล์ของตัวเองมีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เทียบกับเจนเนอเรชั่นอื่น ที่มีสัดส่วน 51%
พร้อมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบการใช้งานเสื้อผ้ามือสองกับเสื้อผ้าใหม่ พบว่า การใช้เสื้อผ้ามือสองลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ 8.41 ปอนด์คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (lbs of CO2e) ประหยัดไฟกว่า 16.48 กิโลวัตต์/ชม. และประหยัดน้ำลงถึง 88.89 แกลลอน และหากทุกคนหันมาซื้อเสื้อผ้ามือสองกันอย่างน้อยแค่คนละ 1 ตัว จะช่วยลดคาร์บอนลงกว่า 2 พัน lbs of CO2e หรือลดจำนวนรถยนต์จากถนนลงได้ 76 ล้านคันในหนึ่งวัน
ช่วยประหยัดน้ำได้ 2.3 หมื่นแกลลอน หรือเท่ากับปริมาณน้ำที่แต่ละคนสามารถดื่มได้ถึง 4.6 หมื่นวัน รวมทั้งประหยัดไฟได้ 4 พันกิโลวัตต์ หรือปริมาณไฟฟ้าที่สามารถดู Netflix 3.7 หมื่นชั่วโมง
ขณะที่มุมมองของผู้ประกอบการแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำราว 1 ใน 3 ระบุว่า หากประสบความสำเร็จในการทำตลาดสินค้า Resale ก็จะเริ่มลดปริมาณการผลิตสินค้าใหม่ให้น้อยลง ซึ่งหากผู้ผลิตลดการผลิตเสื้อผ้าใหม่ลงอย่างน้อยหนึ่งรายการ ก็จะช่วยลดปริมาณการผลิตในภาพรวมลงได้ราว 8% ภายในปี 2027