รายงานดัชนีขยะอาหาร (Food waste index report) ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programme: UNEP) พบว่า ในปี 2019 ปริมาณขยะอาหาร (Food waste) ทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 931 ล้านตัน หรือคิดเป็น 17% ของอาหารที่ผลิตทั่วโลก
โดยเกิดขึ้นจากภาคครัวเรือนเป็นหลักราว 61% ถัดมาเป็นธุรกิจบริการอาหาร (Food service) 26% และธุรกิจค้าปลีกอาหาร (Food retails) 13%
UNEP ประเมินว่า ปัญหาขยะอาหารที่เกิดขึ้นทั่วโลกนี้ได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จากต้นทุนการผลิตอาหารที่สูญเสียไปกับอาหารที่ถูกทิ้งเป็นขยะ และต้นทุนจากการจัดการขยะอาหารที่เกิดขึ้นอีกด้วย
ขยะอาหารยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดทั่วโลก ทั้งนี้ยังไม่รวมผลกระทบจากก๊าซมีเทนที่ปล่อยออกมาหากฝังกลบเศษอาหารไม่ถูกวิธี ซึ่งก๊าซมีเทนส่งผลเสียต่อภาวะโลกร้อนมากกว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 28 เท่า
ประเทศไทยเองก็ เผชิญกับปัญหาขยะอาหารที่ต้องเร่งจัดการเช่นกัน โดยกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ในปี 2021 ภาคครัวเรือนไทยมีปริมาณขยะอาหารถึง 5.47 ล้านตัน หรือ 79 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ซึ่งเป็นขยะอาหารในภาคครัวเรือนถึง 22% ของปริมาณขยะมูลฝอยทั้งหมด
ทิศทางการแก้ปัญหาขยะอาหารในไทย
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) จัดทำรายงานเรื่อง Food waste : วิกฤตปัญหาหรือโอกาสทางธุรกิจ ระบุว่า ปัญหาขยะอาหารแม้จะเป็นวิกฤตที่ต้องเร่งดำเนินการแก้ไข แต่ยังมีโอกาสสำหรับภาคธุรกิจที่สามารถนำมาพัฒนาและต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจได้ โดยความท้าทายหลักที่จะส่งผลต่อการแก้ปัญหาขยะอาหาร คือ
1. การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือน เนื่องจาก ในปริมาณขยะอาหารทั้งหมด ยังมีส่วนของอาหารส่วนเกิน (Food surplus) ที่ไม่ใช่ขยะที่ไม่สามารถบริโภคได้ แต่เป็นการผลิตหรือซื้อมาเกินกว่าความต้องการ ซึ่งส่วนนี้สามารถนำไปบริโภคต่อได้แต่กลับถูกทิ้งรวมเป็นขยะด้วย นอกจากนี้ ยังมีขยะอาหารบางประเภท ที่สามารถแปลงเป็นทรัพยากรหมุนเวียนใช้ประโยชน์ได้ หากมีการจัดเก็บและคัดแยกอย่างถูกวิธี
2. การกำหนดแนวทางการจัดการขยะ เนื่องจากขยะอาหารส่วนใหญ่มักจะถูกทิ้งรวมกับขยะทั่วไป ทำให้ขั้นตอนการคัดแยกและกำจัดขยะทำได้ยากลำบากขึ้น จึงจำเป็นต้องวางแนวทางแก้ปัญหาขยะอาหารอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมในหลายมิติ เช่น
– ตั้งเป้าหมายและวางแผนจัดการขยะอาหารแบบองค์รวม ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคครัวเรือน โดยภาครัฐจะเป็นกำลังหลักในการกำหนดนโยบายและวางแผนตั้งแต่การลดขยะ จนถึงการแยกและจัดการขยะ พร้อมวางระบบการแยกเก็บขยะแต่ละประเภท รวมถึงลงทุนเพิ่มขึ้นในหลายด้าน เช่น รถจัดเก็บขยะแบบแยกประเภท การจัดรอบเก็บขยะ พื้นที่ของโรงเก็บขยะในแต่ละประเภท รวมถึงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และการประชาสัมพันธ์แนวทางการจัดการขยะ
ขณะที่ภาคเอกชนและภาคครัวเรือน ซึ่งถือเป็นต้นน้ำ ต้องให้ความร่วมมือในการลดและแยกขยะ พร้อมช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บขยะของภาครัฐ และการตั้งศูนย์รีไซเคิลแปลงสภาพขยะอาหารที่ผ่านการคัดแยกแล้วมาใช้ประโยชน์
– กำหนดแนวทางการจัดการขยะอาหารที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยอาศัยฐานข้อมูลขยะของภาคเอกชน เนื่องจากขยะอาหารแต่ละพื้นที่มีปริมาณและลักษณะไม่เหมือนกัน โดยข้อมูลขยะอาหารจากภาคเอกชนจะช่วยให้การวางแผนจัดการขยะอาหารและอาหารส่วนเกินมีประสิทธิภาพ รวมทั้งช่วยภาครัฐในการออกมาตรการแก้ไขปัญหาขยะที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ได้ด้วย
– สร้างแรงจูงใจให้เกิดการปฏิบัติตามอย่างจริงจัง โดยบางพื้นที่แม้จะมีการจัดทำถังขยะแยกประเภทแต่เมื่อถึงขั้นตอนการจัดเก็บ ขยะส่วนใหญ่จะถูกนำไปรวมกัน จึงทำให้การกำจัดขยะมีประสิทธิภาพลดลงและขยะบางประเภทก็ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
นอกจากการกำหนดแนวทางการแก้ปัญหาขยะอาหารแล้ว การป้องกันไม่ให้เกิดขยะอาหารเกินความจำเป็นตลอด Supply chain ก็เป็นวิธีช่วยลดวิกฤตปัญหาขยะอาหารได้ด้วย เช่น ธุรกิจอาหารควรมีระบบสั่งซื้อวัตถุดิบที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า หรือภาคครัวเรือนควรซื้ออาหารในปริมาณที่เพียงพอต่อการบริโภค เป็นต้น
โอกาสทางธุรกิจจากขยะอาหาร
ปัจจุบันผู้ประกอบการหลายกลุ่มเห็นโอกาสในการต่อยอดทางธุรกิจจากขยะอาหารมากขึ้น ทั้งในส่วนของขยะอาหารที่ไม่สามารถบริโภคต่อได้ และอาหารส่วนเกินที่ยังสามารถบริโภคได้
โอกาสจากขยะอาหาร การเพิ่มมูลค่าจากขยะอาหารถูกนำไปเป็นไอเดียในการต่อยอดทางธุรกิจ เช่น บริษัทสตาร์ตอัปในสิงคโปร์นำกากธัญพืชมาทำบรรจุภัณฑ์อาหาร จากที่ก่อนหน้ากากธัญพืชเหล่านี้มักถูกนำไปทำอาหารสัตว์ ปุ๋ย หรือกำจัดทิ้ง ทำให้นอกจากช่วยลดขยะอาหารแล้วยังช่วยขยะพลาสติกจากการใช้บรรจุภัณฑ์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้งอีกด้วย
โอกาสจากอาหารส่วนเกิน การต่อยอดสู่แพลตฟอร์มกลางเพื่อเชื่อมโยงผู้มีอาหารส่วนเกินกับผู้ที่ต้องการอาหารให้มาเจอกัน เช่น
1. แพลตฟอร์มการบริจาคอาหารส่วนเกินให้แก่ผู้ยากไร้ เช่น แพลตฟอร์ม คลาวด์ ฟู้ด แบงก์ หรือธนาคารอาหารออนไลน์ที่ร่วมมือกับมูลนิธิสโกลารส์ ออฟซัสทีแนนซ์ หรือ SOS Thailand รับบริจาคอาหารส่วนเกินจากโรงแรม ภัตตาคาร หรือจากร้านค้าปลีกที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อส่งต่อไปยังชุมชนขาดแคลน ผู้ด้อยโอกาส และองค์กรสาธารณะให้สามารถเข้าถึงอาหารที่มีคุณภาพได้ แต่ยังพบจุดอ่อนของโมเดลกที่อาจยังไม่สามารถสร้างแจงจูงใจมากพอให้ภาคเอกชน เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่มีมาตรการทางภาษีมาช่วย เช่นในสหรัฐฯ ที่มีการลดหย่อนภาษีให้ผู้ประกอบการที่บริจาคอาหารให้องค์กรสาธารณกุศลไม่เกิน 15% ของเงินได้สุทธิ หรือแคนาดาที่ให้เครดิตภาษีเงินได้แก่บุคคลหรือผู้ประกอบการไม่เกิน 25% ของมูลค่าที่บริจาค เป็นต้น
2. แอปพลิเคชันจำหน่ายอาหารส่วนเกินจากโรงแรมและร้านอาหาร ที่ดึงดูดความสนใจของลูกค้าด้วยการลดราคาอาหารลงจากราคาปกติเกินครึ่ง โดยในไทยมีแอปพลิเคชันยินดี (Yindii) และแอปพลิเคชัน OHO! ที่เป็น Partner กับทั้งร้านอาหาร โรงแรม และห้างสรรพสินค้า ในการจำหน่ายอาหารส่วนเกินให้กับลูกค้า หรือในต่างประเทศมี Platform e-commerce ชื่อว่า Misfits Market ที่พัฒนามาช่วยผู้ผลิตที่ไม่สามารถขายผลผลิตที่มีรูปลักษณ์หรือคุณภาพด้อยกว่าแต่ยังสามารถบริโภคได้ให้กับลูกค้าที่ไม่เน้นรูปลักษณ์ของผลผลิตในราคาพิเศษ
3. การพัฒนาเทคโนโลยี AI มาช่วยประเมินความต้องการวัตถุดิบจาก Big data ที่มีอยู่ ซึ่งช่วยลดต้นทุนให้ธุรกิจได้ เช่น กลุ่มบริการอาหารและธุรกิจค้าปลีกอาหาร รวมทั้งยังสามารถรักษาคุณภาพอาหารให้ลูกค้าได้ เช่น ร้าน Sushiro ของญี่ปุ่นได้นำข้อมูลจาก Tag IC ใต้จานซูชิมาวิเคราะห์ว่าควรทำซูชิชนิดใดด้วยปริมาณเท่าไร ซึ่งจะส่งผลให้ซูชิบนสายพานมีความสดใหม่อยู่เสมอ และสามารถลดขยะอาหารของร้านซูชิได้จาก 10% เหลือ 4% อีกด้วย