ไลอ้อน ประเทศไทย ตอกย้ำนโยบายการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืนภายใต้แนวคิด ESG เดินหน้าพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตสู่เป้าหมาย “คาร์บอนต่ำ” พัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใช้พลาสติกหมุนเวียน ลงทุนโครงการประหยัดพลังงานนำเทคโนโลยีดิจิทัลทั้งระบบ IoT ควบคุมการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ดร. กิตติวัตร โสมวดี รองผู้จัดการบริหารการผลิต บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนไทย มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจพัฒนาสินค้านวัตกรรมเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ไลอ้อน ประเทศไทย ตอกย้ำนโยบายการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน ภายใต้แนวคิด ESG ด้วย 3 แกนสำคัญ ได้แก่ การดูแลสิ่งแวดล้อม (Environment) การดูแลสังคม (Social) และการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบของการมีธรรมาภิบาล (Governance) เพื่อให้องค์กรมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals)
ไลอ้อนได้มีการลงทุนเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตให้สามารถเข้าสู่เป้าหมาย “คาร์บอนต่ำ” ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลง 55% ในปี ค.ศ. 2030 เมื่อเทียบกับปี ค.ศ. 2017 และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) ในปี ค.ศ. 2050 และอีกเป้าหมายหนึ่งคือ การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน มีเป้าหมายจะใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิต 30% ในปี ค.ศ. 2030 เมื่อเทียบกับปี ค.ศ. 2017
ไลอ้อน ยังได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรและผู้ส่งมอบในการ พัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใช้พลาสติกหมุนเวียน รวมถึงการใช้วัสดุชีวภาพ ปัจจุบันมีการประยุกต์ใช้กับหลายผลิตภัณฑ์ อาทิ บรรจุภัณฑ์ครีมอาบน้ำ “โชกุบุสซึ” ขวดน้ำยาซักผ้า “เปา วินวอช” ที่ใช้พลาสติกที่รีไซเคิลได้ และอยู่ระหว่างการพัฒนาร่วมกันกับพันธมิตรพัฒนาบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ นอกจากนี้ ไลอ้อนยังดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการออกแบบผลิตภัณฑ์และพัฒนากระบวนการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ โดยปัจจุบันมีสินค้ากว่า 20 SKUs ที่ทำการประเมินและได้รับฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of products: CFP) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างจานไลปอนเอฟ และน้ำยาล้างจานโปร ได้การรับรองฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือ ฉลากลดโลกร้อน (Carbon Footprint Reduction: CFR) ของผลิตภัณฑ์นน้ำยาล้างจานเป็นรายแรกของประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังมีโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน นำเทคโนโลยีดิจิทัลทั้งระบบ IoT (Internet of things), Machine Learning, และ, AI (Artificial Intelligence) มาใช้ในการวิเคราะห์และควบคุมการใช้พลังงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงในส่วนของการใช้พลังงานทดแทน อาทิ การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวมถึงการดำเนินการเรื่องการชดเชยคาร์บอน (การซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมในองค์กร) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายและสอดรับกับการแข่งขันของตลาดในอนาคต