ถือเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวของตลาดโน้ตบุ๊กในขณะนี้ ที่มีผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Circular Line Up มาทำตลาด สำหรับเอเซอร์ ภายใต้ซีรีส์ Vero (เวโร) ด้วยการลอนช์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก Acer Aspire Vero โน้ตบุ๊กรักษ์โลก ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล หรือ PCR (Post-Consumer Recycled) ออกมาทำตลาดเมื่อกว่า 2 ปีที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า โดยเฉพาะในตลาดประเทศไทยที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยสามารถทำยอดขาย Acer Aspire Vero ได้สูงสุดเป็นอันดับ 1 ของทั่วโลก
สำหรับสินค้าซีรีส์ Vero คือ กลุ่มที่มี PCR เป็นส่วนผสมในวัสดุหลัก ทำให้ช่วยลดการใช้พลาสติกลงได้ 20-60% ลดทั้งการการปล่อยคาร์บอนลง 25% โดยเฉพาะในกลุ่มเรือธงอย่างโน้ตบุ๊ก ที่มีการรีไซเคิลขยะทะเลมาเป็นทัชแพด พร้อมพัฒนาซอฟต์แวร์ VeroSense ที่ช่วยประหยัดพลังงาน และทำให้แบตเตอรีใช้งานได้นานขึ้น ไม่ต้องชาร์จบ่อย ขณะที่แพกเกจจิ้งก็ผลิตมาจากกระดาษรีไซเคิลทั้ง 100%
คุณนิธิพัทธ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด ในฐานะตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เอเซอร์ ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมา ยอดขายในซีรีส์ Vero เติบโตได้เป็นอย่างดี โดยมีสัดส่วนยอดขาย 10-12% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งในขณะนั้นมีเพียง Acer Aspire Vero เพียงอย่างเดียว สะท้อนถึงการตอบรับที่ดีจากตลาด รวมทั้งแนวทางในการขับเคลื่อนของเอเซอร์ ทั้งในโกลบอล รวมทั้งประเทศไทยที่มุ่งสู่การทำธุรกิจที่คำนึงถึงความยั่งยืนมากขึ้น ในปีนี้จึงได้เพิ่มไลน์อัพในซีรีส์ Vero ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มทั้ง IT และ Non-IT รวมทั้งยังได้ส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนด้วยการนำร่องทำตลาดในกลุ่ม e-Mobility ทั้งจักรยานไฟฟ้า และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า โดยเชื่อว่าจะสามารถผลักดันยอดขายในกลุ่มรักษ์โลก ทั้งจากซีรีส์ Vero รวมท้ังสินค้า Eco-friendly โดยรวมให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 15% ได้ภายในปี 2025
สำหรับการขยายไลน์อัพในซีรีส์ Vero ของเอเซอร์ ประเทศไทย เพื่อมาทำตลาดเพิ่มเติมในปีนี้ มีทั้งในกลุ่มโน๊ตบุ๊ก Acer Aspire Vero ที่จะทำตลาดเพิ่มเติมอีก 2 สี คือ สีเขียวไซเปรส และสีน้ำเงินมาเรียน่า จากเดิมมีเพียงสีเทาคอบเบิลสโตนเท่านั้น รวมทั้งเพิ่มการสร้างผลกระทบเชิงบวกผ่านผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น ด้วยการขยายไลน์ Vero ไปสู่กลุ่มสินค้าไอทีอื่นๆ เพิ่มเติม ทั้งจอมอนิเตอร์ โปรเจ็กเตอร์ เร้าท์เตอร์ รวมไปถึงการขยายสู่กลุ่ม Home Appliance ที่เริ่มนำร่องด้วยเครื่องฟอกอากาศ Acerpure Vero นอกจากนี้ ยังมีสินค้าในกลุ่ม Eco-friendly ที่สามารถลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนอย่างสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และจักรยานยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งการขยายไลน์อัพกลุ่ม Home Appliance ด้วยเครื่องกรองน้ำ Acerpure Aqua เพื่อตอบโจทย์การดูแลสุขภาพ และยังมีระบบที่ช่วยลดปริมาณน้ำทิ้งให้น้อยลงได้ถึง 3 เท่าอีกด้วย
ขับเคลื่อนความยั่งยืนผ่าน Green Journey
ทั้งนี้ การเร่งขยายไลน์อัพสินค้ารักษ์โลกดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน Green Journey เพื่อมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืนของเอเซอร์ ประเทศไทย ภายใต้แนวคิด EARTHION ที่มาจาก EARTH + MISSION หรือการขับเคลื่อนภารกิจเพื่อโลก ผ่าน 3 แกนหลักตามกรอบของบริษัทแม่ ประกอบด้วย
Climate Change : โดยมุ่งเน้นการใช้พลังงานหมุนเวียน ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ มีการใช้พลังงาน น้อยลง 45% ภายในปี 2025 โดยเทียบกับปี 2016 เอเซอร์มีส่วนผลักดันให้ ซัพพลายเออร์ มุ่งมั่นในการปฏิบัติตาม RE100 และ SBT เพื่อช่วยลดคาร์บอน
Circular Economy : เพิ่มปริมาณการนำพลาสติก PCR 20-30% มาใช้ในสินค้ากลุ่มต่างๆ ของเอเซอร์ทั้งคอมพิวเตอร์ จอแสดงผลโปรเจคเตอร์ และอื่นๆ ซึ่งเอเซอร์ทั่วโลกตั้งเป้าผลิตสินค้าจากพลาสติก PCR ให้ได้ 15 ล้านชิ้น
Social Impact : สร้างผลกระทบเชิงบวกท้ังต่อพนักงาน สังคม และสิ่งแวดล้อม ผ่านการขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ที่มุ่งให้พนักงานมีส่วนรวมมากกว่า 90% เช่น โครงการ ทิ้ง | ทิ้ง (ถูกทิ้ง | ทิ้งถูก) ที่ให้ความสำคัญในการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยร่วมกับพาร์ทเนอร์ในการตั้งจุดรับ E-Waste และขยายเพิ่มขึ้นอีก 30% ซึ่งในปี 2022 เอเซอร์รวบรวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้ถึง 918 กก. และคาดว่าในปี 2023 จะเพิ่มขึ้น 20% เพื่อนำไปรวบรวมและส่งต่อให้หน่วยงานเพื่อคัดแยก รีไซเคิลและกำจัดอย่างถูกต้องและปลอดภัย
นอกจากนี้ยังมี โครงการ “ทอใหม่ (จาก) เส้นใย ขวดเก่า” ที่ได้ร่วมกับวัดจากแดงปลุกจิตสำนึกเรื่องการคัดแยกขยะของพนักงานในองค์กรเอเซอร์ เพื่อการรวบรวมและนำส่งขวดน้ำพลาสติก เพื่อนำไปรีไซเคิลเป็นเส้นใยพลาสติกและผลิตเป็นผ้าไตรจีวรสำหรับพระสงฆ์ ตั้งแต่เริ่มกิจกรรมจนถึงตอนนี้เราได้ส่งต่อขวดน้ำพลาสติกไปยังวัดจากแดง รวมแล้วมากกว่า 1,800 ขวด ช่วยผลิตผ้าไตรจีวรได้มากว่า 120 ชุด รวมทั้งโครงากาi “เหลือขอ = ขอที่เหลือ เพื่อแบ่งปัน” ที่ร่วมกับมูลนิธิบ้านนกขมิ้นสร้างคุณค่าให้กับของเหลือใช้ ส่งต่อเป็นโอกาส รายได้สำหรับค่าอาหาร ค่าเทอมให้กับเด็กๆ ในมูลนิธิบ้านนกขมิ้น ซึ่งได้ทำการมอบส่ิงของให้มูลนิธิไปแล้วกว่า 5 ครั้ง และมีแผนที่จะขยายเพิ่มจุดรับบริจาคมากขึ้นในอนาคต