บริษัทผู้ผลิตสินค้าทั้งหลายต่างใช้ประโยชน์จากความอ่อนไหวของผู้บริโภคต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมและความเต็มใจที่จะจ่ายมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากเพื่อความยั่งยืน โดยการติดฉลาก Carbon Neutral บนผลิตภัณฑ์ของตนเองเพื่ออ้างว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืน หรือมีส่วนช่วยในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
การสำรวจ A CLIMATE-NEUTRAL FOOD BASKET TOO GOOD TO BE TRUE? โดย BEUC (The European Consumer Organization) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและองค์กรดูแลผู้บริโภคที่ไม่แสวงหากำไร ได้ทำการส่งสัญญาณเตือนไปยังผู้บริโภคว่าฉลากจำนวนมากเหล่านี้อาจเป็นการสร้าง Misleading ที่ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดได้ พร้อมเรียกร้องแบรนด์ต่างๆ ยุติการกระทำที่เป็น Carbon Neutral Claim เพราะอาจนำมาซึ่งผลเสียหรือเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคมากกว่าการเกิดผลดี
องค์กรที่ร่วมสำรวจ อาทิ Test Achats หรือ Test Aankoop องค์กรเพื่อผู้บริโภคที่ไม่แสวงหากำไรของเบลเยี่ยม ซึ่งส่งเสริมการคุ้มครองผู้บริโภค และ Carbon Market Watch ซึ่งเป็นกลุ่ม Climate Think Thank เรียกร้องให้หลีกเลี่ยงการติดฉลากคาร์บอนของผู้ผลิตจำนวนมากที่ต้องการสร้างแบรนด์ของผลิตภัณฑ์ด้วยโลโก้ Carbon Neutral เพื่อระบุว่าการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ทั้งหมดได้รับการชดเชยนั้นเป็นการฟอกเขียว (Greenwashing) เนื่องจากข้อความหรือการติดฉลากดังกล่าวไม่สามารถยืนยันหรือพิสูจน์ความจริงได้
Gwendolyn Maertens ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการของ Test Achats ระบุว่า คำกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์มีความเป็นกลางทางคาร์บอนทำให้เกิดความรู้สึกต่อผลิตภัณฑ์ว่าไม่มีผลกระทบต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยออกมาได้ถูกหักล้างหรือชดเชยทั้งหมดแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับประกันได้ ด้วยเหตุนี้ คำกล่าวอ้างนี้จึงทำให้ผู้บริโภคเกิดความสับสนและเข้าใจผิด โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่รักษ์โลกและเลือกซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ข้อความหรือคำกล่าวอ้างที่พบบนผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ ได้แก่ Carbon Neutral, Climate Neutral, Net Zero, 100% Carbon Offset เป็นต้น ซึ่งมักจะทำให้ผู้บริโภคสับสนในความจริง และไม่ได้ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสิ่งที่บริษัทต่างๆ กำลังดำเนินการเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ผู้เชี่ยวชาญได้ทำการศึกษาผลิตภัณฑ์ 13 รายการที่วางจำหน่ายในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่กล่าวอ้างว่าเป็น Carbon Neutral รวมถึง กาแฟ พิซซ่า ชีส กล้วย และน้ำดื่มบรรจุขวด ผลการศึกษาดังกล่าวระบุผลลัพธ์ยืนยันว่าฉลากเหล่านี้ยังห่างไกลจากความน่าเชื่อถือ
โดยพบว่า Climate Neutrality เป็นการกล่าวอ้างที่ได้มาจากการซื้อคาร์บอนเครดิต จากการที่บริษัทผู้ผลิตจะบริจาคเงินให้กับโครงการทางสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่น โครงการพลังงานหมุนเวียน โครงการปลูกป่า เป็นต้น แต่กลับพบว่าระบบเครดิตนี้ไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว ไม่มีการรับประกันว่าโครงการนั้นๆ จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จริง และการประเมินค่าการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สามารถทำได้ง่ายและสูงเกินความเป็นจริง
ตัวอย่างเช่น กล้วย แบรนด์ Chiquita ที่กล่าวอ้างว่า กล้วยของบริษัทมีความเป็นกลางทางคาร์บอนผ่านคาร์บอนเครดิตจากโครงการพลังงานลมในประเทศคอสตาริกา แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าพลังงานลมสามารถชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ทั้งหมดหรือไม่อย่างไร และบริษัทก็ยังมีความคลุมเครือว่าการปล่อยก๊าซใดที่จะถูกชดเชย
Laura Clays โฆษกของ Test Achats กล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพของคาร์บอนเครดิตยังไม่ได้รับการพิสูจน์ แต่ยังไม่มีมาตรฐานยุโรปที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ทำให้ผลิตภัณฑ์สองชนิดที่ติดฉลาก Carbon Neutral แบบเดียวกันอาจมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมแตกต่างกันมากได้
ทั้งนี้ ในปี 2563 คณะกรรมาธิการยุโรปได้ศึกษาเรื่องการกล่าวอ้างด้านสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม โดยพบว่าเกินกว่าครึ่ง หรือ 53.3% ของการกล่าวอ้างด้านสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมในสหภาพยุโรปมีความคลุมเครือ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในกลุ่มผู้บริโภค และไม่มีมูลความจริง และเมื่อต้นปี 2566 Federal Public Service Economy (FPS Economy) ของเบลเยี่ยม ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจเบลเยี่ยมให้มีประสิทธิภาพ แข่งขันได้ และมีความยั่งยืน ได้เปิดตัวแคมเปญเพื่อเตือนผู้บริโภคให้ทราบถึงลักษณะของการกล่าวอ้างด้านสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เข้าใจผิด หลังจากได้รับรายงานที่ไม่เป็นความจริงถึง 21 ฉบับในปี 2565
นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา รัฐสภายุโรปได้มีมติเห็นชอบ Directive on Empowering Consumers for the Green Transition ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มสิทธิของผู้บริโภคโดยการแก้ไข Directive ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม (Unfair Commerical Practices Directive : UCPD) และ Directive เกี่ยวกับสิทธิผู้บริโภค (Consumer Rights Directive : CRD) เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ไม่ใช่ Greenwashing
โดยบริษัทผู้ผลิตจะไม่ได้รับอนุญาตให้กล่าวอ้างหรือโฆษณาผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือธุรกิจ หากการกล่าวอ้างนั้นไม่สามารถยืนยันได้โดยระบบการรับรอง (Certification Scheme) ที่สาธารชนสามารถเข้าถึงได้ และในอนาคตจะอนุญาตให้ใช้เฉพาะฉลากความยั่งยืนที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการ หรือมีการจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายรับรอง หรือจัดตั้งโดยหน่วยงานของรัฐเท่านั้น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้นและลดความสับสนของผู้บริโภค รวมถึงผู้ประกอบการที่ต้องการทำการตลาด โฆษณา หรือกล่าวอ้างว่าผลิตภัณฑ์มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะต้องคำนึงวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การขนส่ง และจะต้องมีระบบการตรวจสอบ สามารถพิสูจน์ได้ และได้รับการรับรองว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานและมีคุณสมบัติตามที่กล่าวอ้างจริงที่ไม่ใช่การฟอกเขียว
ข้อมูล : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ