เด็กในประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ นครศรีธรรมราช และนราธิวาส
โดยรายงานการศึกษาล่าสุดของยูนิเซฟ “การประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมต่อเด็กในประเทศไทย” ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และเป็นรายงานฉบับแรกในประเทศไทย ที่ศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อเด็กเป็นการเฉพาะ ได้ระบุว่า ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อเด็กในประเทศไทย คือ ภัยน้ำท่วม ภัยแล้ง และอากาศร้อนจัด ซึ่งอาจทำให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การแพร่กระจายของเชื้อโรค และความไม่มั่นคงทางอาหาร
ปัญหาดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ พัฒนาการ และความเป็นอยู่ของเด็ก ซึ่งมีความเปราะบางต่อภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากพวกเขามีระบบภูมิคุ้มกันและระบบประสาทที่อ่อนแอกว่า อีกทั้งยังต้องพึ่งพิงผู้ใหญ่ในเรื่องความปลอดภัยและความเป็นอยู่โดยรวม
คุณคยองซอน คิม ผู้อำนวยการ องค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย กล่าวว่า ทุกวันนี้เราเห็นผลกระทบของน้ำท่วม ภัยแล้ง ฝุ่นมลพิษ และสภาพอากาศร้อนจัดในประเทศไทยอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาวะทั้งทางร่างกายและจิตใจของเด็ก และกระทบต่อพัฒนาการของเด็กในระยะยาว ทำให้เด็กๆ เสี่ยงที่จะไม่สบาย ขาดเรียน หรือเข้าไม่ถึงบริการต่าง ๆ ที่จำเป็น ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ การขาดสารอาหาร ความเครียด และความตื่นตระหนก หรือแม้กระทั่งการเสียชีวิตได้ เราอาจพูดได้ว่าภาวะเหล่านี้กำลังพรากอนาคตของเด็กๆ ไป
อย่างไรก็ตาม แม้เรื่องนี้จะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสิทธิเด็ก ซึ่งถือเป็นกลุ่มเปราะบางที่สุดต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แต่กลับยังไม่ได้รับความสนใจและการแก้ไขเท่าที่ควร
ทั้งนี้ เด็กแต่ละกลุ่มกำลังเผชิญผลกระทบจากวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดยเด็กจากครอบครัวยากจน เด็กในชนบท เด็กพิการ และเด็กโยกย้ายถิ่นฐาน คือกลุ่มที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
ขณะที่รายงานของยูนิเซฟเมื่อปี 2564 จัดให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 50 จาก 163 ประเทศที่เด็กมีความเสี่ยงสูงสุดต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ รายงาน The Coldest Year of the Rest of their Lives: Protecting Children from the Escalating Impacts of Heatwaves ของยูนิเซฟ ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ชี้ให้เห็นว่า ในปี 2563 เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ในประเทศไทย จำนวน 10.3 ล้านคน หรือกว่า 75% ของเด็กทั่วประเทศต้องเผชิญคลื่นความร้อนที่เกิดบ่อยครั้งขึ้น และหากยังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง เด็กเกือบทุกคนในประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนสูงบ่อยครั้งขึ้นและยาวนานขึ้นภายในปี 2593
โดยยูนิเซฟได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวไว้ดังนี้
1. นโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องให้ความสำคัญกับเด็ก โดยต้องคำนึงถึงความต้องการของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ และต้องมีมาตรการที่จะปกป้องพวกเขาจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม
2. ส่งเสริมความตระหนักรู้ ความรู้ และทักษะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการดูแลสิ่งแวดล้อมให้แก่เด็ก ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่ากำลังได้รับผลกระทบอย่างไร และจะมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาได้อย่างไร
3. เสริมสร้างความเข้มแข็งและความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในชุมชนที่มีความเสี่ยงสูง ผ่านการเสริมสร้างความรู้และทักษะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสนับสนุนการเตรียมความพร้อม การป้องกัน และการตอบสนองต่อภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาระบบเตือนภัยและเฝ้าระวังที่มีประสิทธิผลและทันต่อเหตุการณ์ ที่ทุกคนรวมทั้งเด็กในกลุ่มเปราะบางที่สุด สามารถเข้าถึงและปฏิบัติตามได้ง่าย
4. สร้างพื้นที่ให้เด็กและเยาวชนได้มีส่วนร่วม ในการแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อมในชุมชนของตัวเอง
โดยช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นเวทีเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น เช่น
-ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 27 หรือ COP 27 ที่จัดขึ้นในประเทศอียิปต์เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 เด็กและเยาวชนมีบทบาทสำคัญมากขึ้น โดยเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มีพาวิลเลียนและเวทีถกเถียงในประเด็นนี้เป็นของตัวเอง ที่ซึ่งพวกเขาได้เรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายและภาคธุรกิจเพิ่มความมุ่งมั่นและลงมือปฏิบัติอย่างแท้จริงเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลก
– ยูนิเซฟ ประเทศไทย เองก็ได้เปิดตัว U-Report ซึ่งเป็นแชทบอทในแอพพลิเคชัน LINE ในเดือน พ.ย. 2022 เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แบ่งปันแนวคิดและแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขา และจากการสำรวจความคิดเห็นเยาวชนจำนวน 517 คน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พบว่า เกินครึ่งหนึ่งของเยาวชนที่ตอบแบบสอบถามบอกว่าพวกเขามีความรู้แค่ระดับพื้นฐานหรือแทบไม่มีความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเลย โดย 63% บอกว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องรับมือภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอย่างไร
– ในปี 2566 นี้ คณะกรรมการสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติจะให้ข้อคิดเห็นทั่วไป (General Comment no.26) ด้านสิทธิเด็กและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งอ้างอิงจากเสียงของเด็กและเยาวชนในชุมชนต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ข้อคิดเห็นทั่วไปนี้มุ่งเน้นให้รัฐบาลทั่วโลกมีมาตรฐานสากลในการปกป้องสิทธิเด็กจากผลกระทบของวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม