ข้อมูลจากการศึกษาเชิงลึกเรื่อง “สินค้าบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมในฟิลิปปินส์” โดยสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมะนิลา เผยแพร่ในเดือนมีนาคม 2566 ที่ผ่านมา ระบุว่า ปี 2564 ฟิลิปปินส์มีการใช้บรรจุภัณฑ์กว่า 60,000 ล้านชิ้น และคาดว่าจะมีการเติบโตของตลาด บรรจุภัณฑ์ราว 4% ต่อปี ในระหว่างปี 2564 – 2571
พร้อมระบุว่า ผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์มีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ด้วยข้อจำกัดด้านการเงินจึงยังไม่ต้องการที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบด้านเงินเฟ้อในปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับสูง เป็นเหตุผลให้ฝั่งของผู้ผลิตพยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ หรือนำบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ เพื่อให้ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ไม่สูงจนเกินไป
ทั้งนี้ ขนาดของบรรจุภัณฑ์ในฟิลิปปินส์มีความหลากหลาย ตามความต้องการของผู้บริโภคและฐานะทางเศรษฐกิจ โดยผู้บริโภคกลุ่มที่มีกำลังซื้อมักนิยมเลือกสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่ เนื่องจากมีราคาต่อหน่วยที่ต่ำกว่า ขณะที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่อาจมีกำลังซื้อไม่มากพอ ก็มักจะนิยมซื้อสินค้าในบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็ก แต่จะซื้อบ่อยครั้งมากกว่า
โดยประชาชนชาวฟิลิปปินส์มักจะมีวัฒนธรรมที่เรียกว่า ทิงกิ คัลเจอร์ (Tingi Culcure) หรือพฤติกรรมการซื้อสินค้าครั้งละเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะการซื้อผ่านร้านขายของชำขนาดเล็ก และพบปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์แบบซองขนาดเล็ก หรือ ซาเช่ (Sachet) มากถึงกว่าวันละ 164 ล้านซอง โดย 62% หรือราว 101 ล้านซอง จะผลิตแบบซองหลายชั้น (Multi-layer) ซึ่งมีการผสมระหว่างอลูมิเนียม กาว และพลาสติก PVC และส่วนใหญ่มักใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับของเหลว เช่น ยาสระผม เครื่องดื่มชง เช่น นม น้ำผลไม้ กาแฟ ขณะที่อีก 38% จะเป็นซองแบบชั้นเดียว (Single layer sachet) ซึ่งนิยมใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับผลิตภัณฑ์ประเภทขนมขบเคี้ยว และผงซักฟอก เป็นต้น
จากผลการศึกษา GAIA study ระบุว่า ซองขนาดเล็กที่ถูกทิ้งในฟิลิปปินส์ตลอด 1 ปีนั้น มีปริมาณมากพอที่จะฝังทั้งกรุงมะนิลาได้สูงถึง 1 ฟุต และแนวโน้มการใช้ซองดังกล่าว ยังมีจำนวนมากขึ้นในกลุ่มผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่า รวมทั้งมีปริมาณการใช้ในชุมชนเมืองมากกว่าในชนบท
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีการใช้ซองซาเช่มากที่สุด ได้แก่ กาแฟสำเร็จรูป ตามมาด้วยสบู่ แชมพู ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดครัวเรือน และเครื่องปรุงรส โดยบรรจุภัณฑ์กลุ่มนี้สามารถหาได้ในช่องทางค้าปลีกทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นตลาด ร้านอาหารขนาดเล็ก ร้านค้าโชห่วย
ส่วน สาเหตุสำคัญที่ผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์เลือกซื้อสินค้าแบบซาเช่ เนื่องจากความสะดวก และราคาที่จับต้องได้ และทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงแบรนด์ที่มีคุณภาพดีได้ในราคาที่ไม่แพง รวมทั้งสามารถหาซื้อได้จากร้านค้าปลีกในชุมชน ส่งผลให้พฤติกรรมดังกล่าวกลายเป็นวัฒนธรรมการซื้อสินค้าขนาดเล็กหรือ tingi culture ในที่สุด ทำให้แบรนด์ต่างๆ ต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในบรรจุภัณฑ์แบบซองขนาดเล็ก เพื่อตอบสนองกับตลาดดังกล่าวซึ่งถือว่าเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
ขณะที่ผลสำรวจจาก Kantar ระบุถึงพฤติกรรมผู้บริโภคฟิลิปปินส์ไว้ว่า ผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์มีความต้องการผลิตภัณฑ์และอยากมีวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อาทิ
– ผู้บริโภคมากกว่า 75% ชอบซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน
– 74% ตั้งใจสนับสนุนแบรนด์ที่มีการส่งเสริมวิถีชีวิตที่มีความยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม
– มากกว่า 70% ยังลดการใช้พลาสติก รีไซเคิลขยะ และลดขยะที่เกิดจากอาหารด้วย โดยเฉพาะในกลุ่ม Baby boomer ซึ่งผู้บริโภคมีพฤติกรรมดังกล่าวถึงกว่า 80%
– มากกว่า 90% ต้องการซื้อสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และชื่นชอบสินค้าที่ทำจากวัตถุดิบทางธรรมชาติมากกว่า เพราะเชื่อว่าผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบทางธรรมชาติและสินค้าที่ผลิตภายในประเทศจะช่วยให้ชาวฟิลิปปินส์มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น รวมถึงช่วยให้เกิดการจ้างงานในประเทศด้วย
นอกจากนี้ ยังพบว่า มุมมองต่อการมีวิถีชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ได้เป็นเรื่องของผู้บริโภคที่มีฐานะร่ำรวยเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของชาวฟิลิปปินส์ทุกคน โดยคนฟิลิปปินส์เริ่มหันมาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยมากกว่าครึ่ง หรือ 54% ของผู้บริโภคที่มีฐานะระดับปานกลาง -ล่าง เป็นครัวเรือนที่มีพฤติกรรมการบริโภคที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งที่ทำเป็นประจำ (Eco-active) หรือเป็นครั้งคราว(Eco-considerer) เช่น การใช้ถุงผ้าซ้ำในการซื้อของ และการลดขยะพลาสติก เป็นต้น โดยหลายคนสังเกตุเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงต่อสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมของกลุ่มเพื่อนหรือคนในครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีผู้บริโภคชาวฟิลิปปินส์เกินกว่าครึ่ง หรือมากกว่า 55% ระบุว่าการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องยาก เนื่องจากหาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ยาก หรือไม่ก็มักจะมีราคาแพงกว่าสินค้าทั่วไป