ข้อมูลจาก Sustainability Magazine ได้ลิสต์รายชื่อ 10 อันดับ โรงเรียนที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลก ซึ่งได้รวบรวมท้ังในระดับมหาวิทยาลัยและที่ต่ำกว่า พร้อมท้ังแนวทางที่โรงเรียนแต่ละแห่งดำเนินการ เพื่อแสดงถึงการขับเคลื่อนเพื่อไปสู่การสร้างความยั่งยืน
ซึ่งแต่ละโรงเรียน ก็จะมีแนวทาง และวิธีการที่แตกต่างกันไป จากการพิจารณาของโรงเรียนต่างๆ ทั่วโลก ที่ตรงกับ criteria ของคำว่า “ความยั่งยืน” ที่สามารถส่งต่อไปสู่อนาคตได้ ซึ่งทั้ง 10 โรงเรียนที่ทาง Sustainability Magazine ได้คัดเลือกมานำเสนอ ประกอบด้วย
1. Green School : กรีนสคูล บาหลี, อินโดนีเซีย
โรงเรียนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติท่ามกลางทุ่งหญ้าป่าเขา เปิดสอนตั้งแต่ระดับเตรียมอนุบาลจนถึงมันธยมปลาย อาคารเรียนสร้างขึ้นจากวัสดุหมุนเวียน เช่น ไม้ไผ่ หญ้า โคลน และใช้พลังงานจากพลังงานน้ำ และพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ออกแบบตามแนวทาง organic permaculture system (Permanent+ Agriculture) หรือการออกแบบพื้นที่ และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ให้สอดคล้องและพึ่งพิงกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ โดยไม่สร้างมลพิษ
ส่วนแนวทางการสอนของโรงเรียนก็สอดคล้องกับหลักการของความยั่งยืนเช่นกัน โดยนอกเหนือจากบรรดาวิชาทั่วไป นักเรียนจะได้รับการสอนเกี่ยวกับเรื่อง Green Studies, วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental Science) รวมทั้งระบบการศึกษาเกี่ยวกับชุมชน (Community-educated System)
2. American University : มหาวิทยาลัยอเมริกัน วอชิงตันดีซี, สหรัฐอเมริกา
สถาบันใน DC แห่งนี้ได้สร้างชื่อเสียงในด้านความยั่งยืน ปฏิบัติตามกฎที่มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์: แผนความยั่งยืนปี 2014 ซึ่งหมายความว่า มีการไฟฟ้าหมุนเวียนทั้ง 100% เพื่อสร้างความเป็นกลางของคาร์บอน ลดของเสียเป็นศูนย์ และไม่มีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรการสอนด้าน Green ที่เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมอยู่จำนวนมาก ซึ่งจากการสำรวจล่าสุด มีมากกว่า 1,000 หลักสูตร
3. University of Nottingham : มหาวิทยาลัยนอตติ้งแฮม, ประเทศอังกฤษ
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สถาบันการศึกษาในตอนกลางของอังกฤษแห่งนี้ ได้รับการจัดอันดับอยู่ใน 5 อันดับแรก ของมหาวิทยาลัยที่ยั่งยืนที่สุดในยุโรป และยังคงรักษาคำมั่นสัญญาเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนโยบายด้านความยั่งยืน ให้ยังคงเป็น “วาระสำคัญ” ในการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยไว้ได้อย่างแข็งแรง การจัดวางสภาพแวดล้อมของโรงเรียนให้เต็มไปด้วยป่าไม้และพื้นที่สีเขียวเป็นจำนวนมาก เพื่อตอกย้ำเป้าหมายของทางโรงเรียน
นอกจากการมีหลักสูตรจำนวนมากเกี่ยวกับความยั่งยืนแล้ว ยังถือเป็นโรงเรียนแห่งแรกในระดับเดียวกัน ท่ีมีห้องปฏิบัติการที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon-neutral Laboratory) จึงได้ชื่อว่าเป็น Center for Sustainable Chemistry อีกด้วย
4. University of California :มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย, สหรัฐอเมริกา
แคลิฟอร์เนียถือเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดแนวคิด Modern Green Movement เป็นเหตุผลให้มหาวิทยาลัยต้นแบบแห่งนี้ติดโผอยู่ในลิสต์ด้วย โดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้เปิดตัวข้อตกลงด้านความยั่งยืน มาตั้งแต่ปี 2546 ก่อนที่ข้อกำหนดในเรื่องเหล่านี้จะกลายมาเป็นบรรทัดฐานใหม่ที่มีความจำเป็นในสังคม และหลังจากนั้น ทางมหาวิทยาลัยยังได้นำนโยบายของประธานาธิบดี เกี่ยวกับมาตรฐานอาคารเขียวและพลังงานสะอาดมาปรับใช้
และในปัจจุบันได้กลายเป็นแนวทางการปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน ซึ่งครอบคลุมไปถึงการดำเนินงานต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย ที่สามารถยึดถือเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการได้ เช่น การบริหารจัดการน้ำ การดูแลสุขภาพและชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีได้แบบองค์รวม โดยมีเป้าหมายในการสร้างให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2568
5. Uaso Nyiro Primary School : โรงเรียนประถมออโซไนรีโอ, เคนย่า
สภาอาคารสีเขียวแห่งสหรัฐอเมริกา (US Green Building Council) ให้คำนิยามโรงเรียนแห่งนี้ว่า “โรงเรียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุดในโลก” ซึ่งผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแอฟริกาจึงมีความแห้งแล้งอย่างมาก โรงเรียนแห่งนี้จึงได้ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษ 2 คน เพื่อออกแบบพื้นที่สำหรับการบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้สามารถเก็บน้ำจากธรรมชาติ ไว้ใช้เองได้อย่างเพียงพอ สำหรับคนทั้งโรงเรียน รวมทั้งสำหรับระบบชลประทานเพื่อดูแลแปลงผักภายในโรงเรียนทั้งหมด โดยมีการออกแบบให้สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้มากถึง 3.5 แสนลิตรต่อปี ด้วยถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่ลานกว้าง ผ่านระบบกรองที่ใช้วัสดุจากธรรมชาติทั้งหมด โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติทั้งหมด ด้วยการใช้ดินเหนียวที่ถูกผสมด้วยขี้เลื่อยและเผาจนเกิดรูพรุน เพื่อทำหน้าที่กรองน้ำก่อนนำไปใช้ และยังออกแบบให้สามารถนำไปก่อสร้างซ้ำเพื่อใช้ในพื้นที่แห้งแล้งอื่นๆ ได้ ตามแนวทางของความยั่งยืน
6. University of Groningen : มหาวิทยาลัยโกรนิงเก้น, เนเธอร์แลนด์
หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นนำและอยู่ในลิสต์มหาวิทยาลัยที่ยั่งยืนของโลก โดยมหาวิทยาลัยแห่งนี่มีสำนักงานสีเขียว หรือ Green Office ที่พยายามบ่มเพาะโครงการด้านความยั่งยืน ให้สร้างผลลัพธ์ที่สามารถจับต้องได้ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการศึกษาและการวิจัยเข้ากับกระบวนการที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจภายในสังคม โดยความร่วมมือกันของทั้งนักศึกษาและบุคคลากร เพื่อรวมเรื่องราวของการพัฒนาที่ยั่งยืนเข้ากับธุรกิจการศึกษา โดยเฉพาะการวิจัยเชิงวิชาการเพื่อการพัฒนาและสร้างสังคมที่ยั่งยืน
7. Wageningen University & Research : มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยเวจนิงเก้น, เนเธอร์แลนด์
เจ้าของตำแหน่งมหาวิทยาลัยที่มีความยั่งยืนมากที่สุดของโลก จากการจัดอันดับ GreenMetric ประจำปี 2022 โดยครองตำแหน่งเป็นปีที่ 6 ติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 20107 ซึ่งการจัดอันดับดังกล่าว ได้เปรียบเทียบผลกระทบของสถาบันการศึกษาทั่วโลกในด้านพลังงาน ภูมิอากาศ ของเสีย การขนส่ง น้ำ ความหลากหลายทางชีวภาพ และโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งวิเคราะห์ความยั่งยืนของโครงการการศึกษาและการวิจัยของแต่ละสถาบันด้วย
มหาวิทยาลัย Wageningen ให้ความสำคัญกับการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และความยั่งยืน ตามแนวทาง “การสำรวจศักยภาพของธรรมชาติเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิต” และให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลที่ดีได้นำไปสู่มาตรการต่างๆ เช่น การเสนออาหารยั่งยืนในโรงอาหารของโรงเรียน และลดขยะอาหาร เป็นต้น
8. Australian International School : โรงเรียนนานาชาติอสเตรเลีย, สิงค์โปร์
โรงเรียนนานาชาติในสิงคโปร์แห่งนี้ ดูแลเด็กๆ ตั้งแต่ทารก 2 เดือน ไปจนถึงอายุ 18 ปี มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับด้านความยั่งยืนในระดับภูมิภาค ด้วยการเป็นพันธมิตรกับ Sun Electric และทำการติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปบนหลังคาอาคารกว่าพันแผง ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้ถึงชั่วโมงละ 704 เมกะวัตต์ และสามารถนำพลังงานที่เหลือไปจำหน่าย โดยตลอดทั้งโครงการนี้สามารถชดเชยคาร์บอนได้ถึง 303 เมตริกตัน ซึ่งความร่วมมือดังกล่าว เป็นหัวใจสำคัญของหลักสูตรด้านความยั่งยืน ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้จริง และสะท้อนถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนของโลกในอนาคต
9. Universiti Putra Malaysia : มหาวิทยาลัยปุตรามาเลเซีย, มาเลเซีย
เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยด้านการวิจัยชั้นนำในมาเลเซีย และอยู่ในลิสต์การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก UI-GreenMetric มานานกว่าทศวรรษ นอกจากนี้ยังอยู่ในรายชื่อมหาวิทยาลัยด้านความยั่งยืน 50 อันดับแรกของโลกอีกด้วย โดยให้ความสำคัญกับงานวิจัยเชิงลึกเพื่อนำมาซึ่งการพัฒนาต่างๆ ทั้งเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ของเสีย น้ำ และการศึกษา เป็นต้น
10. University of Gottingen : มหาวิทยาลัยเกิตทิงเงน, เยอรมนี
Green Office ของมหาวิทยาลัย ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและการดำเนินการตามมาตรการด้านความยั่งยืนทั่วทั้งโรงเรียน นอกเหนือจากการส่งเสริมเครือข่ายของนักศึกษาและคณาจารย์ทั่วทั้งวิทยาเขต นอกจากนี้ยังได้ใช้แผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศปี 2030 ซึ่งถือว่าเป็น “ความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องรีบการดำเนินการ เพื่อตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมที่เป็นเอกลักษณ์และหน้าที่แบบอย่างของมหาวิทยาลัยและสถาบันดูแลสุขภาพที่มีหน้าที่ต้องมีส่วนร่วมในสภาพภูมิอากาศระดับภูมิภาค ระดับประเทศ และระดับนานาชาติ มาตรการป้องกันตลอดจนช่วยสร้างกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้อง”