อาลีบาบา กรุ๊ป กำลังเร่งขับเคลื่อนการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ Green Supply Chains ในประเทศจีน โดยใช้ประโยชน์จากพลังของแพลตฟอร์มและความสามารถในการประมวลผลบนคลาวด์ จาก 2 แพลตฟอร์มสำคัญใน Alibaba Ecosystem ทั้ง ทีมอลล์ ซุปเปอร์มาร์เก็ต แพลตฟอร์มร้านสะดวกซื้อออนไลน์ และ Energy Expert ระบบจัดการพลังงานและความยั่งยืนที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของอาลีบาบา คลาวด์
ตามรายงานของ Ernst & Young บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำระดับโลก ระบุว่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 90% เกิดจากซัพพลายเชนขององค์กร และอีกไม่ต่ำกว่า 70% มาจากระบบการดำเนินงานต่างๆ ดังนั้น หากสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนจากทั้งสองแหล่งดังกล่าว จะช่วยให้อาลีบาบาลดปริมาณก๊าซคาร์บอนรวมลงได้อย่างมหาศาล และเข้าใกล้เป้าหมายสู่การสร้างความเป็นกลางทางคาร์บอนได้เร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในขั้นตอนที่ท้าทายที่สุด คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตลอดทั้งซัพพลายเชน หรือในสโคปที่ 3
ทั้งนี้ ได้ขยายการผนึกกำลังไปสู่ผู้ค้าระดับโลกที่มีอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจของซัพพลายเออร์อย่าง ยูนิลีเวอร์ (Unilever) และ เนสท์เล่ (Nestlé) เพื่อร่วมกันพัฒนาการดำเนินงานในซัพพลายเชนของตนให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้ แนวคิดเรื่องความยั่งยืนอาจจะยังไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ในการเลือกซัพพลายเออร์มากนัก
ทั้งนี้ ทีมวิศวกรจาก Energy Expert ของอาลีบาบา คลาวด์ จะพัฒนาแนวทางในการตรวจวัดและลดการสร้างคาร์บอนในกระบวนการผลิต ด้วยการเข้าไปแนะนำให้โรงงานต่างๆ ที่อยู่ในซัพพลายเชนของแบรนด์หรือองค์กรต่างๆ เปลี่ยนมาผลิตบรรจุภัณฑ์โดยใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และเลิกใช้เครื่องจักรเก่าเพื่อทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น รวมทั้งการช่วยดูแลระบบจัดการและบำบัดน้ำเสียของโรงงานเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ หรือการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น
Yuan Can ผู้จัดการฝ่ายเทคนิคของ Energy Expert มองว่า ทางทีมจะสามารถเข้าไปช่วยปรับปรุงช่องว่างในกระบวนการผลิตของโรงงานต่างๆ เช่น การนำระบบความร้อนและพลังงานกลับมาใช้ใหม่ หรือการรีไซเคิลขยะจากกระบวนการผลิต หรืออาจจะต้องมีการลงทุนเปลี่ยนเครื่องจักรหรือติดตั้งระบบประหยัดพลังงานต่างๆ เพื่อช่วยทั้งลดการใช้พลังงานรวมทั้งลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิตด้วย โดยปีที่ผ่านมาสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึง 140 ตัน และยังลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้มากถึง 300,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการใช้พลังงานโดยเฉลี่ยของชาวจีนเกือบ 400 ครัวเรือน
ด้าน Pei Yunlong หัวหน้าฝ่ายซัพพลายเชนเพื่อสิ่งแวดล้อม ของทีมอลล์ ซุเปอร์มาร์เก็ต กล่าวว่า นอกจากการชี้แจงข้อมูลด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภคทราบแล้ว ทีมอลล์ยังต้องการสนับสนุนซัพพลายเออร์และผู้ผลิตนำมาตรการเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green measures) มาปรับใช้ได้ด้วย นำมาสู่การพัฒนาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ถึง 20 รายการ บนทีมอลล์ ซุเปอร์มาร์เก็ต อาทิ ถ้วยบรรจุอาหาร และกระดาษรองอบที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ เป็นต้น นับตั้งแต่เปิดตัวในเมษายนปีที่แล้ว
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างวางแผนขยายความร่วมมือกับซัพพลายเออร์ที่มีมาตรการด้านความยั่งยืน เพื่อเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายสู่ Zero Waste ในกระบวนการผลิต รวมทั้งการขยายความร่วมมือกับผู้ค้าปลีกรายอื่นๆ ต่อไป เพื่อรวบรวมขวดพลาสติกที่ใช้แล้วมารีไซเคิลเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค
“ทีมอลล์ฯ ยังกระตุ้นให้ซัพพลายเออร์ปรับปรุงประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนด้วยการติดแท็กผลิตภัณฑ์ “eco-friendly” และผู้บริโภคที่ซื้อผลิตภัณฑ์จะได้คะแนน ซึ่งสามารถนำไปแลกรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ บนแพลตฟอร์มบัญชีแยกประเภทคาร์บอนของอาลีบาบาได้ เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกซื้อผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำภายในระบบนิเวศของอาลีบาบา ซึ่งตามผลวิจัยของ China Chain Store & Franchise Association แสดงให้เห็นว่า 80% ของผู้บริโภคในจีน ยินดีจ่ายเงินสูงขึ้นถึง 10% สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนสนับสนุนความยั่งยืน”