คอนเฟิร์มมาจากหนึ่งในพี่ใหญ่แห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยอย่าง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) แล้วว่า นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของบริษัทต่างๆ นั้น มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้จริงๆ
แม้ว่าอาจจะยังไม่มีผลการศึกษาในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ แต่จากหลายๆ ผลสำรวจและวิจัยจากต่างประเทศ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมของแต่ละบริษัท หรือ ESG น้ัน ติดอยู่ในปัจจัยการพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ ของผู้บริโภคเลยทีเดียว โดยเป็นปัจจัยที่สำคัญ และติดอยู่ใน TOP3 เป็นรองเพียงแค่เรื่องของคุณภาพของสินค้า และราคา เท่านั้น
ขณะที่ทิศทางดังกล่าวในประเทศไทยก็มีความสอดคล้องกัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ค่อนข้างมาก และเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งธุรกิจที่ต้องทำตลาดหรือติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ที่จะเริ่มมีการกำหนดกฎเกณฑ์และเงื่อนไขในเรื่องนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น
1 ใน 3 กุญแจสู่การเติบโตแบบ All-Time High
เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้การวางกลยุทธ์ของแสนสิริ เพื่อเติบโตสู่เป้าหมายในปี 2023 ที่เรียกได้ว่า เป็นการสร้างประวัติศาสตร์การเติบโตแบบ All-time High หรือโตสูงสุดในประวัตศาสตร์ธุรกิจตลอด 30-40 ปีที่ผ่านมา ทั้งในมิติของยอดขาย (Pre-sale) และกำไร (Net Profit) จึงต้อง มีกลยุทธ์ Race to Net Zero เป็น 1 ใน Key Strategy เพื่อสร้างการเติบโต ควบคู่มากับ การขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยโปรดักต์ที่ตอบโจทย์ในทุกๆ กลุ่มเป้าหมาย (Continuous Expansion) โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 52 แห่ง มูลค่ารวมกว่า 7.5 หมื่นล้าน ซึ่งมากสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน แบ่งเป็น แนวราบ 2 ใน 3 หรือ 30 โครงการ และคอนโด 22 โครงการ ซึ่งจะทำตลาดในทุกทาร์เก็ตตั้งแต่ Super Luxury ไปจนถึง Affordable Segment ทั้งจากแบรนด์เดิมที่มีอยู่ รวมทั้งการสร้างแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเติมพอร์ตมากขึ้น
รวมทั้งการเริ่มหันมาทำตลาดต่างประเทศมากขึ้น (No.1 International Markets) หลังเห็นสัญญาณการกลับมาของต่างชาติ จากความผ่อนคลายของมาตรการเฝ้าระวังโควิด และเริ่มเห็นการฟื้นตัวทั้งเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว โดยวางเป้าหมายยอดขายและยอดโอนจากตลาดต่างชาติในปีนี้ 1.2 หมื่นล้านบาท ด้วยการรุกตลาดให้กว้างขึ้นทั้งจากกลุ่ม CLMV จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และรัสเซีย
คุณเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2023 เป็นปีที่แสนสิริตั้งเป้าการเติบโตแบบ Break Record ซึ่งเป็นการรต่อยอดการเติบโตได้ในระดับสูงต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยตั้งเป้ายอดขายพรีเซลแบบสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 5.5 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนที่มียอดพรีเซลสูงถึง 5 หมื่นล้าน รวมทั้งจะสร้างยอดรับรู้รายได้ไม่น้อยกว่า 4 หมื่นล้าน และเชื่อว่าผลกำไรที่จะได้จากการดำเนินธุรกิจในสิ้นปีนี้ก็จะสร้างสถิติใหม่ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ความสำเร็จในปี 2565 ที่ผ่านมา แสนสิริเติบโตได้เกือบ 50% จากปีก่อนหน้า และจะรักษาศักยภาพในการเติบโตระดับสูงนี้ไว้ ด้วยการขับเคลื่อนธุรกิจแบบ Speed to Market ด้วยการขยายผลิตภัณฑ์เพื่อให้ทุกกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงได้มากขึ้น โดยเฉพาะการเจาะ Affordable Segment เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ และกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้น ควบคู่ไปกับนโยบายด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเป็นธุรกิจอสังหารายแรกที่เริ่มประกาศการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ ด้วยการประกาศเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ หรือ Net zero ภายในปี 2050 พร้อมจับมือกับพันธมิตรในการพัฒนา Net zero Home ทั้งในมิติของการใช้วัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำ รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับการใช้พลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง
“ในฐานะบริษัทขนาดใหญ่ที่มียอดขายในแต่ละปีมากกว่า 3-4 หมื่นล้านบาท มีสินทรัพย์รวมกันมากกว่า 1.2 แสนล้านบาท กำไรกว่า 4-5 พันล้าน ทำให้แสนสิริไม่สามารถละเลยการตอบแทนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะความมุ่งมั่นในการลดคาร์บอนให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งปีที่ผ่านมา แสนสิริลดคาร์บอนรวมได้กว่า 3,400 ตันคาร์บอน พร้อมทั้งสนับสนุนพลังงานสะอาดผ่านการติดตั้งแผงโซลาร์ในโครงการได้กว่า 700 หลัง มีการลงทุนติดตั้งสถานีชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV Charger ได้กว่า 400 หลัง พร้อมทั้งช่วยลดการสร้างขยะโดยรวมได้มากกว่า 1.7 ล้านกิโลกรัม ซึ่งนโยบายต่างๆ เหล่านี้ จะขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้นในปี 2565 นี้”
สร้างตลาดคนรุ่นใหม่ ด้วยสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดี
ด้าน คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ แสนสิริ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนมีความสำคัญต่อการเติบโตของแสนสิริไม่แพ้การรุกตลาดในทางธุรกิจผ่านการลงทุน และการทำตลาดด้วยเช่นกัน เนื่องจาก กลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นอีกหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายสำคัญของแสนสิริ และอินไซต์สำคัญของกลุ่มเป้าหมายนี้ คือ การให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีนโยบายในการขับเคลื่อนธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน ตามแนวทาง ESG
ดังนั้น การขยับโปรดักต์ให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น จากการเป็นผู้นำใน Premium Segment ขยายมาสู่กลุ่ม Affordable Segment โดยเฉพาะการเพิ่มตลาดคอนโด ที่ระดับราคาจับต้องได้ เริ่มต้น 1-2 ล้านบาท มาเติมพอร์ตมากขึ้น เพื่อจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ คนโสด รวมทั้ง First Jobber รวมทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยับไปสู่ Upper Segment มากขึ้น ตามการเติบโตและพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย เช่น จากเรียนจบ สู่วัยเริ่มทำงาน เริ่มมีครอบครัว และเริ่มมีลูก ก็จะมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์บริบทที่เปลี่ยนไป ทำให้ขยับจากคอนโด มาเป็นการมองหาทาวน์โฮม และเมื่อเติบโตขึ้นมีกำลังซื้อมากขึ้นก็จะขยับมาสู่ตลาดบ้านเดี่ยวในอนาคตต่อไป และสามารถขยับไปสู่แบรนด์อื่นๆ ในพอร์ตของแสนสิริได้มากขึ้นในอนาคต
“หนึ่งในจุดแข็งของแสนสิริ คือ การรักษาลูกบ้านไว้ได้อย่างแข็งแรง เมื่อเคยเป็นลูกบ้านของแสนสิริแล้ว หากมองหาบ้านหลังที่สอง หรือจะแนะนำให้ลูกหลานในเจเนอรเรชั่นต่อๆ ไป ก็จะเลือกแบรนด์ของแสนสิริอย่างต่อเนื่อง จากแนวคิดในการสร้างสังคมที่ดี ทั้งความปลอดภัย การมีสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อนบ้านที่ดี เพื่อให้ลูกค้าเชื่อมั่นในการซื้อมากขึ้น”
แสนสิริยังมี แนวคิดสร้าง Community สำหรับพื้นที่แปลงใหญ่ที่มีอยู่ราว 8 ทำเล เพื่อให้มีหลายๆ แบรนด์ มาอยู่ได้พื้นที่เดียวกัน ไม่ต่างกับการสร้างเมืองที่จะมีที่อยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบ แต่ทั้งหมดจะมีการบริหารจัดการและดูแลทั้งสังคม สิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยแสนสิริ ดังนั้น แม้จะมีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายที่อยู่โดยรอบในพื้นที่ แต่ลูกบ้านทุกคนของแสนสิร จะสามารถเชื่อมั่นได้ว่าจะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และสังคมที่ดี เป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของลูกบ้านได้อีกทางหนึ่ง โดยจะนำร่องด้วยโครงการ “บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา” ในการเป็นต้นแบบ Low Energy Community Model ด้วยการใช้ Green Materials รวมทั้งติดตั้ง Solar Panel ในบ้านทุกหลัง, ติดตั้ง Solar Light บริเวณส่วนกลาง ติดตั้ง EV Charger ส่วนกลางและที่บ้าน รวมทั้งทดลองปลูกต้นไม้ยืนต้นและไม้พุ่มในสวนส่วนกลาง ซึ่งจะทยอยใช้โมเดลในรูปแบบเดียวกันนี้ไปในทำเลอื่นๆ ในอนาคต
“จากนี้ทุกโครงการของแสนสิริต้องใช้พลังงานสะอาด ด้วยแผนติดตั้ง Solar Panel ในส่วนกลางของโครงการใหม่ 100% รวมทั้ง ติดตั้ง Solar Panel ในบ้านทุกหลังของโครงการใหม่ ไฟในสวนต้องเป็นไฟพลังงานแสงอาทิตย์ 100% ทุกโครงการในปีนี้ โดยวางเป้าหมายติดตั้ง 1,100 หลังในปีนี้ และอีก 1,500 หลังในปีต่อไป รวมถึงส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายติดตั้ง EV Charger ในทุกโครงการใหม่ของแสนสิริในทุกเซ็กเมนท์ โดยวางเป้าหมายติดตั้ง EV Charger 650 หลังในปีนี้ และอีก 750 หลังในปีต่อไป รวมไปถึงการสนับสนุนโครงการเพื่อสังคม อาทิ ZERO DROPOUT ซึ่งก้าวเข้าสู่ปีที่ 2 เพื่อแก้ปัญหาเด็กหลุดนอกระบบการศึกษาที่ต้องเป็น “ศูนย์” ภายในปี 2567 โดยเตรียมจับมือกับ Partner ระดับโลกเพื่อช่วยเหลือและวิเคราะห์ปัญหาเด็กหลุดนอกระบบ เริ่มต้นที่จังหวัดราชบุรี รวมทั้งสานต่อจุดยืนความเท่าเทียมปีที่ 5 หรือ LIVE EQUALLY โดยปีนี้ เตรียมขยายผลกับพาร์ทเนอร์ที่มีวิสัยทัศน์เดียวกัน WASTE TO WORTH แยกขยะให้เกิดประโยชน์ เพื่อลดขยะในครัวเรือนของลูกบ้าน เป็นต้น”