โรงเรียน 9 ใน 10 แห่ง ของอังกฤษ ต้องแบกรับต้นทุนด้านพลังงานและค่าครองชีพ จากปัญหาเงินเฟ้อ และค่าแรงบุคคลากรที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ขณะที่งบประมาณช่วยเหลือด้านการศึกษาจากภาครัฐกลับลดลง
สมาคมครูใหญ่แห่งชาติ ประเทศอังกฤษ (the National Association of Head Teachers (NAHT)) ระบุว่า 50% ของหัวหน้าสถานศึกษาในอังกฤษมองว่าโรงเรียนของพวกเขาจะขาดดุลในปีนี้ และจะในปีหน้าจะมีบัญชีสีแดง เมื่อทุนสำรองที่มีอยู่หมดลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากส่วนหนึ่งของมาตรการในการลดงบประมาณของรัฐบาล โดยที่อาจารย์ใหญ่และผู้นำสถาบันการศึกษาต่างเตือนว่าแนวทางที่จะลดงบเพิ่มเติม จะเป็นการผลักให้โรงเรียนไปยืนอยู่ที่หน้าผา และอาจต้องสูญเสียทรัพยากรทั้งในส่วนของบุคลากรหรือแนวทางที่เคยได้รับการสนับสนุนต่างๆ
Paul Whiteman เลขาธิการ NAHT กล่าวว่า โรงเรียนไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายอะไรได้อีก เพราะถูกตัดขาดมาจนถึงกระดูกแล้ว จากนี้จะหมายถึงการตัดชั่วโมงการสอน ผู้ช่วยสอน และครู โดยก่อนหน้านี้ครูใหญ่หรือผู้นำโรงเรียนได้สูญเสียอัตราเงินเดือนราว 24% มาตั้งแต่ปี 2010 ขณะที่เงินทุนเพื่อการศึกษาได้ถูกลดลงไป 3% จากค่าพลังงานที่สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อ ทำให้กระทบกับการจ่ายค่าแรงครู ด้วยเหตุนี้ ผู้นำโรงเรียนจึงถูกบังคับให้ลดค่าใช้จ่ายที่ท้ายที่สุดแล้วไม่สามารถช่วยได้ แต่จะส่งผลในทางลบต่อการศึกษาและสวัสดิภาพของเด็กตามมา
Steve Chalke ผู้ก่อตั้งมูลนิธิโอเอซิส และเปิดสถาบันการศึกษา 52 แห่งในอังกฤษ กล่าวว่า ค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมันสำหรับโรงเรียนในเครือข่ายของเขาพุ่งขึ้นมากกว่า 3 เท่า จาก 26,000 ปอนด์ต่อปี เป็น 89,000 ปอนด์ แม้จะมีการกำหนดเพดานราคาสูงสุดไว้ 6 เดือนก็ตาม ซึ่งมูลนิธิยังต้องหาเงินเพิ่มอีก 4.5 ล้านปอนด์สำหรับค่าจ้างครูที่เพิ่มขึ้นราว 5% แต่ส่วนใหญ่ก๋ยังต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ พร้อมแสดงความผิดหวังที่รัฐบาลกำลังวางแผนที่จะลดงบประมาณด้านการศึกษาเพิ่มเติมอีก ซึ่งถือเป็นการละเลยสวัสดิการและกาศึกษาของลูกหลายและอาจกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้คนในประเทศเพิ่มมากขึ้น
ด้านโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า “เราเข้าใจดีว่าโรงเรียนกำลังเผชิญกับแรงกดดันด้านต้นทุนอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ระดับนานาชาติที่ผลักดันราคาพลังงานให้สูงขึ้น” พร้อมได้วางมาตรการในการบรรเทาภาระด้านพลังงาน โดยโรงเรียนจะได้รับเงินทุนหลัก 5.38 หมื่นล้านปอนด์ในปีนี้ รวมถึงจะได้รับเงินสดเพิ่มขึ้นอีก 4 พันล้านปอนด์