แคลิฟอร์เนียเป็นหนึ่งตลาดที่มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายมากที่สุดในสหรัฐ โดยมียอดขาย EV ปัจจุบันที่ราว 1 ล้านคัน ทำให้เป็นหนึ่งเมืองที่มีการตื่นตัวในการขยาย EV Ecosystem มากที่สุดแห่งหนึ่ง ประกอบกับนโยบายของรัฐ ที่ต้ังเป้าจะจำหน่ายเฉพาะรถยนต์ Zero emission เท่านั้น หลังจากปี 2578 ซึ่งคาดว่าตลาด EV ของแคลิฟอร์เนียในขณะนั้นน่าจะอยู่ที่ 5 ล้านคัน
ขณะที่ความแพร่หลายในการใช้งาน EV ของสหรัฐเอง เริ่มขยายตัวต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งในตลาดรถยนต์แล้วที่ราว 6% ทำให้ได้เห็นการลงทุนเพื่อสร้างสถานีชาร์จ เพื่อร่วมสร้างเครือข่ายรองรับการขับเคลื่อนในการเปลี่ยนผ่านไปสุ่อุตสาหกรรมรถยนต์ EV
เช่นเดียวกันการลงทุนครั้งล่าสุดของ สนามบินนานาชาติลอสแองเจลลิส หรือ LAX ในเมืองแคลิฟอร์เนีย กับการติดตั้งที่ชาร์จ EV ภายในสนามบินจำนวน 1,300 จุด ซึ่งจะทำให้สนามบินแห่งนี้กลายเป็นพอร์ตในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
สำหรับการขับเคลื่อนโครงการครั้งใหม่ของ LAX ได้ร่วมมือกับบริษัทโซลูชันด้านพลังงานอย่าง PowerFlex โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Landside Access Modernization Program (LAMP) ของสนามบิน LAX ภายใต้งบลงทุนรวมกว่า 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถูกจัดสรรมาจากงบการปรับปรุงเพื่อยกเครื่องสนามบินให้มีความทันสมัยกว่า 1.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อมอบประสบการณ์ระดับเฟิร์สคลาสให้แก่ผู้มาใช้บริการ รวมถึงการก่อสร้างอาคารจอดรถแห่งใหม่ที่จุรถได้ 4,300 คัน โดย 1 ใน 3 ของพื้นที่จอดรถดังกล่าว หรือราว 1,300 จุด จะมีการติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้รถไฟฟ้าที่นำรถมาจอดไว้ที่สนามบิน โดยสามารถจองที่จอดรถได้ผ่าน FlyLAX.com
PowerFlex ได้ให้ข้อมูลว่า จะมีการติดตั้งที่ชาร์จทั้งแบบ Level 2 (คล้ายกับการชาร์จในบ้านแต่จะใช้กระแสไฟฟ้าที่สูงกว่า) และ แบบ DC fast charger (ที่ชาร์จแบบกระแสตรง) ซึ่งจะอยู่ภายในอาคารจอดรถแห่งใหม่ซึ่งเป็นอาคารที่มีคาร์บอนฟุ้ตพริ้นท์ในปริมาณต่ำ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณประตูทางเข้าสนามบิน LAX
สำหรับค่าบริการในการชาร์จนั้น ทาง LAX ก็บอกมาว่า ผู้ที่นำรถไฟฟ้ามาชาร์จจะเสียค่าบริการแบบคงที่ในอัตรา 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ บวกค่าไฟที่อัตรา 0.45 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อหน่วย (กิโลวัตต์-ชั่วโมง)
อย่างไรก็ดี ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นเรื่องเยี่ยมยอดในการส่งเสริมให้ผู้มาใช้บริการสนามบินใช้รถไฟฟ้า และยังเป็นการช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่เกิดจากการเดินทางภายในสนามบินด้วย