FlexiFarm นวัตกรรมการปลูกผักในตู้คอนเทนเนอร์ ต้นแบบสมาร์ทฟาร์มเคลื่อนที่ได้ โยกย้ายสะดวก ใช้พื้นที่น้อยแต่ได้ผลผลิตคุ้มค่า อีกหนึ่งโมเดลการบริหารจัดการธุรกิจแบบสำเร็จรูปที่ยั่งยืน พร้อมเสริมสร้างคุณภาพชีวิตและอาหารการกินที่ดี ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสุขภาพท่ามกลางสถานการณ์โลกในปัจจุบัน
คุณยุทธพงษ์ เผ่าจินดา ผู้ก่อตั้ง FlexiFarm กล่าวว่า เฟล็กซี่มุ่งหวังยกระดับคุณภาพชีวิตของคนยุคปัจจุบันให้ดีขึ้น และส่งเสริมความมั่นคงทางด้านอาหาร แม้จะมีหลากหลายปัจจัยท้าทายรอบด้าน ทั้งสงคราม สภาพเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ โรคระบาดและมลภาวะที่ส่งผลกระทบต่อปัจจัย 4 โดยเฉพาะเรื่องของอาหาร การพัฒนาโซลูชั่น “คอนเทนเนอร์ฟาร์ม” ซึ่งเป็นการปลูกผักในตู้คอนเทนเนอร์จึงเข้ามาช่วยตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
คำว่า ‘Flexi’ (เฟล็กซี่) ย่อมาจาก ‘Flexibility’ สื่อถึงความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยน โยกย้าย เพื่อเข้าถึงทุกพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม จึงตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายในเมืองที่มีพื้นที่จำกัด พร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัยซึ่งจะช่วยให้เจ้าของตู้สามารถบริหารจัดการระบบฟาร์มได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ ทั้งยังสามารถได้ผลผลิตที่ดี ควบคุมได้ ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
ทั้งนี้ คอนเทนเนอร์ฟาร์มของ FlexiFarm ติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัยและเชื่อมโยงระบบทั้งหมดเข้ากับสมาร์ทโฟน ทำให้เจ้าของตู้คอนเทนเนอร์กลายเป็นเกษตรกรยุคดิจิทัลที่สามารถควบคุมกระบวนการทุกอย่างได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส อาทิ สั่งเปิด-ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบอัตโนมัติผ่านมือถือ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ LED พัดลม แอร์, ตั้งเวลาเปิด-ปิดล่วงหน้า, ตรวจสอบและปรับเปลี่ยนอุณหภูมิ ความชื้น ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์แบบเรียลไทม์ ตลอดจนสั่งควบคุมการให้น้ำและปุ๋ยให้เหมาะสมกับสภาวะของพืช
ตัวตู้ยังถูกออกแบบให้สามารถปลูกผักได้เต็มศักยภาพของพื้นที่ มีการจัดวางจำนวนชั้นปลูกที่เหมาะสมเพื่อผลผลิตที่มากที่สุดต่อ 1 ตู้ โดยตู้มีขนาดกว้าง 2.5 เมตร ยาว 12 เมตร สูง 2.8 เมตร สามารถติดตั้งได้แม้ในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัดและหากต้องการผลผลิตที่มากขึ้น ก็สามารถซ้อนตู้กันได้โดยไม่ต้องใช้พื้นที่เพิ่ม FlexiFarm จึงเป็นแหล่งอาหารคุณภาพสูงให้กับทุกชุมชน ทั้งในใจกลางเมืองและในทุกพื้นที่ ให้มีผักที่สดสะอาด ปลอดภัยและใกล้บ้าน ด้วยแนวคิดและจุดเด่นสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิต 5 ด้านหลัก ต่อไปนี้
สร้างเสริมสุขภาพ (Better Health) ผักจาก FlexiFarm มีความสด สะอาดและปลอดภัย เนื่องจากเป็นการปลูกในระบบปิด ซึ่งเป็นการตัดขาดจากสิ่งแวดล้อมและมลภาวะภายนอก อาทิ ฝุ่น ควัน และฝนกรด ปราศจากแมลงรบกวน จึงไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ไร้พยาธิและเชื้อรา และด้วยการควบคุมกระบวนการปลูก ทั้งอุณหภูมิ น้ำ อากาศและแร่ธาตุตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ผักเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพ อีกทั้งยังมีรสชาติที่ดีอีกด้วย
สร้างเสริมความมั่นคงทางอาหาร (Better Food Security) การปลูกผักในระบบปิดทำให้สามารถคำนวณปริมาณผลผลิตที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ ได้ผักได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติภายนอกที่จะทำให้พืชผลเสียหายได้ เช่น น้ำท่วม ดินถล่ม และความผันผวนของสภาพดินฟ้าอากาศ อีกทั้งช่วยลดโอกาสการเน่าเสียจากแบคทีเรียในกระบวนการปลูกและเก็บเกี่ยวได้ ทำให้ผักเก็บได้นานขึ้น มีผักไว้บริโภคในทุกสถานการณ์ตลอดทั้งปี
สร้างเสริมสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต (Better Work-life Balance) การปลูกผักในคอนเทนเนอร์ฟาร์มของ FlexiFarm นอกจากจะได้ผลผลิตเป็นเสบียงที่เก็บได้ใกล้ตัวเพราะสามารถยกไปตั้งใจกลางเมืองหรือแหล่งชุมชนได้ ยังสามารถต่อยอดเป็นได้ทั้งงานอดิเรกที่สร้างสรรค์และทางเลือกสำหรับการทำธุรกิจที่ดี ด้วยธรรมชาติของผักซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง บวกกับโมเดลการบริหารจัดการที่ไม่ต้องอิงสภาพอากาศหรือปัจจัยภายนอกจึงทำให้ผู้ปลูกสามารถคาดการณ์ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ได้ ลดปริมาณใช้น้ำ ประหยัดเวลาที่ใช้ล้างผัก ทั้งยังใช้สมาร์ทเทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยในการควบคุมดูแลได้จากทุกที่ทุกเวลา จึงเป็นลักษณะธุรกิจที่เอื้อต่อการจัดสรรเวลาให้สมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต
สร้างเสริมสภาพแวดล้อมที่ดี (Better Environment) ด้วยปริมาณการใช้น้ำที่น้อยกว่าการปลูกผักแบบดั้งเดิมถึง 95% และใช้พื้นที่น้อยกว่า
สร้างเสริมการเชื่อมต่อกับชุมชน (Better Community) เกษตรกร FlexiFarm สามารถนำผลผลิตไปแจกจ่ายให้ชุมชนรอบข้างได้ หรือแม้กระทั่งต่อยอดให้เป็นวิสาหกิจชุมชน อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมที่คนในชุมชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วม ใช้เวลาอย่างมีประโยชน์ได้ร่วมกัน เป็นแหล่งเรียนรู้เทคโนโลยีการปลูกผักที่ดีให้กับลูกหลานในชุมชน รวมถึงนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ได้