นายกอังกฤษประกาศห้ามขายรถเครื่องยนต์ดีเซลและเบนซินภายในปี 2030

อังกฤษเป็นอีกหนึ่งประเทศมหาอำนาจที่พยายามผลักดันเรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการรับมือกับภาวะโลกร้อน โดยล่าสุด นายกฯ บอริส จอห์นสัน ประกาศแผนห้ามการขายรถยนต์ และรถตู้เครื่องยนต์ดีเซลและเบนซิน ภายในปี 2030 พร้อมผลักดันการใช้รถยนต์ไฟฟ้า


แผนดังกล่าวนับเป็นส่วนหนึ่งของแผน 10 ข้อ ที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย สำหรับ “การปฏิวัติอุตสาหกรรมสีเขียว” หรือ “green industrial revolution” ที่จะมุ่งสร้างอาชีพกว่า 250,000 อัตรา และต่อสู้กับภาวะโลกร้อน นอกจากเป้าหมายข้างต้นแล้ว แผนนี้จะมีส่วนในการพัฒนาการดักจับและกักเก็บคาร์บอน การผลิตก๊าซไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำ พลังงานนิวเคลียร์และพลังงานลมนอกชายฝั่ง

ทั้งนี้ การผลักดันและสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีเงินลงทุนในส่วนต่างๆ เป็นเงินจำนวน 1.3 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ซึ่งจะนำไปใช้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่งบประมาณอีกกว่า 582 ล้านปอนด์จะถูกจัดสรรไว้สำหรับเป็นเงินช่วยเหลือเพื่อลดต้นทุนของรถยนต์ไฟฟ้าและส่งเสริมการใช้งาน และงบประมาณอีกจำนวนเกือบ 500 ล้านปอนด์ถูกจัดสรรเพื่อใช้ในการพัฒนาและการผลิตแบตเตอร์รี่รถยนต์ไฟฟ้าในสเกลใหญ่ในอีก 4 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ประเทศอังกฤษคงไม่ใช่ประเทศแรกที่ผลักดันเรื่องนี้ แต่ยังมีอีกหลายประเทศในยุโรป เช่น เดนมาร์ก และนอร์เวย์ ที่พยายามส่งเสริมให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้ท้องถนนปลอดการปล่อยคาร์บอนอย่างสิ้นเชิง

credit : www.cnbc.com/2020/11/18/the-uk-plans-to-ban-sales-of-diesel-and-petrol-cars-from-2030.html#:~:text=The%20U.K.%20will%20stop%20selling,jobs%20and%20combatting%20climate%20change.

Stay Connected
Latest News