อนาคตถนนเมืองไทยจะทำจากขยะพลาสติกเหลือใช้ เพื่อตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน

นับเป็นความพยายามของทั้งฝ่ายรัฐบาลและเอกชนที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน ล่าสุดกรมทางหลวง – กรมทางหลวงชนบท – เอสซีจี – กลุ่มบริษัทดาว และ มช. ร่วมมือศึกษาและพัฒนาการนำพลาสติกเหลือใช้ เพื่อนำมาเป็นส่วนผสมในแอสฟัลต์คอนกรีตสำหรับงานก่อสร้างทาง ตอบโจทย์การจัดการขยะอย่างถูกวิธีตามตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)


เมื่อวันที่ 12 พย.2562 คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงคมนาคมพิจารณานำแนวทางการนำขยะพลาสติกมาใช้ ในการก่อสร้างถนนโดยให้นำรูปแบบโครงการถนนพลาสติกรีไซเคิลตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของกระทรวง จึงเป็นที่มาของพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “โครงการศึกษาพัฒนาการใช้ประโยชน์จากพลาสติกเหลือใช้เพื่อเป็นส่วนผสมในแอสฟัลต์คอนกรีตสาหรับงานทาง”   เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา  ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือด้านวิชาการ ทรัพยากร และการบริหารจัดการที่ภาคเอกชน

พันธมิตร ร่วมมือศึกษาและพัฒนาการนำพลาสติกเหลือใช้ เพื่อนำมาทำถนนพลาสติกรีไซเคิล

ซึ่งเอสซีจี และกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ได้นำประสบการณ์และองค์ความรู้จากการวิจัยและพัฒนาการทำถนนพลาสติกรีไซเคิลที่ได้ริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งผ่านกระบวนการทดสอบตามมาตรฐานในห้องปฏิบัติการ และใช้งานจริงในพื้นที่ของภาคเอกชนต่าง ๆ เช่น นิคมอุตสาหกรรมอาร์ ไอ แอล จ.ระยอง และนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ชลบุรี เป็นต้น มาใช้ศึกษาและพัฒนาโครงการนี้

โดยมีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เข้าร่วมศึกษางานวิชาการ รวมถึงผลกระทบเชิงสิ่งแวดล้อม ตลอดจนกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ได้เข้ามาร่วมศึกษาและสนับสนุนการจัดทำมาตรฐานการนำพลาสติกเหลือใช้มาเป็นส่วนผสมในแอสฟัลต์คอนกรีต ซึ่งหากโครงการฯ สำเร็จ จะสามารถขยายผลไปสู่การทำถนนในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทยได้จริง ช่วยส่งเสริมการบริหารจัดการขยะ โดยเฉพาะพลาสติกได้อย่างยั่งยืนตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยพบว่าถนนจากพลาสติกรีไซเคิลความยาว 1 กิโลเมตร ที่มีหน้ากว้างถนน 6 เมตร สามารถนำขยะพลาสติกไปใช้ประโยชน์ได้ถึงประมาณ 3 ตัน หรือเท่ากับถุงพลาสติกเกือบ 900,000 ใบ ซึ่งปัจจุบันเอสซีจีและกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ได้ร่วมกับภาคเอกชนทำถนนแอสฟัลต์คอนกรีตต้นแบบที่มีพลาสติกเหลือใช้เป็นส่วนผสม รวมความยาวถนน 7.7 กิโลเมตร สามารถนำพลาสติกเหลือใช้หมุนเวียนกลับมาสร้างคุณค่าได้รวม 23 ตัน

ต้นเเบบถนนพลาสติกบริเวณนิคมอุตสาหกรรม อาร์ ไอ แอล จ.ระยอง 1

สราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่าหนึ่งในประเด็นยุทธศาสตร์ของกรมทางหลวง คือ การพัฒนาและส่งเสริมการวิจัยพัฒนา การสร้างนวัตกรรม การใช้เทคโนโลยี การสร้างระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลด้านการพัฒนาระบบทางหลวง

“ การที่กรมทางหลวงได้ร่วมมือกับกรมทางหลวงชนบท เอสซีจี กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในการร่วมกันวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างมาตรฐานทางใหม่ ๆ โดยนำพลาสติกเหลือใช้มาเป็นส่วนผสมแอสฟัลต์คอนกรีต เพื่อตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ อีกครั้งหนึ่งในอนาคต ที่จะนำพลาสติกเหลือใช้ดังกล่าวมาใช้ในงานก่อสร้าง และบำรุงรักษาเส้นทางของกรมทางหลวง ซึ่งจะเกิดประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวิศวกรรม ทั้งนี้ เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการร่วมกันพัฒนาประเทศชาติ เพื่อสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี”

ด้าน ปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า “การบันทึกความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยให้การศึกษาพัฒนาการใช้ประโยชน์จากพลาสติกเหลือใช้ (ขยะพลาสติก) บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกิดเป็นนวัตกรรมที่จะสร้างมาตรฐานในการก่อสร้างและบำรุงรักษาถนน ในอนาคต ที่สามารถลดปริมาณการใช้แอสฟัลต์ และสามารถนำขยะพลาสติกนำกลับมาใช้ใหม่ (รีไซเคิล) ในโครงการก่อสร้างถนนได้ เป็นการสร้างคุณค่าให้กับขยะพลาสติกประเภทบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วที่ไม่มีราคาได้อย่างคุ้มค่า ช่วยลดขยะพลาสติกตกค้าง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งยังช่วยเสริมสร้างวิสาหกิจชุมชนในการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี ซึ่งสอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลในเรื่อง BCG (Bio – Circular – Green Economy) ที่เป็นการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป”

สำหรับกรมทางหลวงชนบทมีแผนงานจะต่อยอดจากโครงการนี้ โดยเริ่มสร้างถนนจากขยะพลาสติกเหลือใช้ที่จังหวัดสระบุรี และในงบประมาณปี 2564 สามารถนำไปดำเนินการได้ที่จังหวัดระยองเนื่องจากเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่มีปริมาณขยะพลาสติกพอเพียงที่จะนำไปเป็นวัตถุดิบแทนแอสฟังด์ได้

ส่วน รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจีมุ่งนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน มาประยุกต์ใช้ทั้งในองค์กรและสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนมากว่า 2 ปี ด้วยเห็นถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าสูงสุด เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญ โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติกที่ยังขาดการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในนั้นคือการร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย เพื่อทำต้นแบบถนนที่มีส่วนผสมของพลาสติกที่เหมาะสมต่อการใช้งานถนนในประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสังคมให้ดีขึ้นได้อีกด้วย ”

สำหรับโครงการนี้เอสซีจี และกลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย ได้พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเอสซีจีจะให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับการจัดหาเศษพลาสติกเหลือใช้ อาทิ ชนิดและคุณภาพ รวมทั้งวิธีการแปรรูป อาทิ การล้าง บดย่อย และบรรจุ เพื่อให้พร้อมต่อการใช้งาน และยังจะเดินหน้ารณรงค์ส่งเสริมให้เกิดการคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เพื่อให้สามารถนำขยะพลาสติกจากองค์กรและชุมชนมาใช้ประโยชน์ในโครงนี้ได้ โดยมุ่งหวังว่าจะสามารถผลักดันโครงการดังกล่าวไปสู่การเป็นมาตรฐานการทำถนนของภาครัฐ เพื่อใช้งานจริงในพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศได้ต่อไป

ฉัตรชัย เลื่อนผลเจริญชัย ประธานบริหาร กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่าเมื่อปี 2560 กลุ่มบริษัทฯ เริ่มพัฒนาถนนพลาสติกแห่งแรกในประเทศอินโดนีเซีย หลังจากนั้นได้ขยายไปหลาย ๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ปัจจุบันได้สร้างถนนพลาสติกไปแล้วกว่า 90 กม. โดยใช้ขยะพลาสติกไปกว่า 200 ตัน หรือเทียบเท่ากับถุงพลาสติก 50 ล้านใบ

โครงการถนนพลาสติกนี้เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการก่อสร้างถนนซึ่งช่วยให้มีความแข็งแรงทนทานมากขึ้นกว่าการใช้ยางมะตอยตามปกติ และยังเป็นประโยชน์ต่อการจัดการขยะ เพราะช่วยนำพลาสติกเหลือใช้กลับมาใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่า ช่วยลดปริมาณพลาสติกที่จะต้องถูกทิ้งเป็นขยะ

โดยเป้าการทำงานด้านความยั่งยืนของ ดาว คือ หยุดขยะพลาสติกไม่ให้หลุดรอดออกสู่ ซึ่งการร่วมมือกับหน่วยงานที่มีแนวคิดแบบเดียวกันจะสามารถเพิ่มผลกระทบเชิงบวกได้เป็นอย่างมาก กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย จึงนำเทคโนโลยีนี้เข้ามาในประเทศไทยโดยร่วมมือกับเอสซีจี

“เป็นที่น่ายินดีที่กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท รวมทั้งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เห็นความสำคัญ และเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการอันจะสร้างโอกาสให้เกิดการขยายผล เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นกำลังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อช่วยลดปัญหาขยะในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืนต่อไป” ฉัตรชัย กล่าวสรุป

ปิดท้ายด้วย ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาคแห่งแรกของประเทศไทย มุ่งสร้างผลกระทบเชิงบวกสู่ภาคประชาสังคม โดยมุ่งเน้นเป้าหมายการพัฒนาที่ยังยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals; SDG ) และพัฒนาสู่การเป็นเมืองต้นแบบอัจฉริยะ พลังงานสะอาด สร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือก ขยายผลสู่การพัฒนาชุมชนโดยรอบมหาวิทยาลัยและจังหวัดเชียงใหม่อย่างยั่งยืน

ตัวอย่างต้นแบบด้านการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมหนึ่งของมหาวิทยาลัย คือ โครงการศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจร เนื่องจากขยะมูลฝอยเป็นเหตุที่สำคัญประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม และมีผลกระทบต่อประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งนับเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องมีการจัดการอย่างเป็นระบบและถูกต้องตามหลักวิชาการ ทั้งนี้ ศูนย์บริหารจัดการชีวมวลครบวงจรได้ใช้เทคโนโลยีแบบบูรณาการ (Integrated Solid Waste Management) ที่เน้นการนำขยะมูลฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเป้าประสงค์ของกระบวนการการจัดการขยะมูลฝอยแบบครบวงจรโดยปราศจากของเสีย (Zero Waste) ซึ่งสามารถนำไปขยายผลในหน่วยงานและชุมชนต่าง ๆ ได้ต่อไป

นอกจากการแปรรูปขยะเป็นพลังงานทดแทน (Waste to Energy) ที่มหาวิทยาลัยประสบความสำเร็จในการดำเนินการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้ริเริ่มโครงการนำขยะพลาสติกที่เหลือจากโรงคัดแยกขยะต้นแบบของมหาวิทยาลัย มาเป็นส่วนหนึ่งของการผลิตแอสฟัลต์คอนกรีต เพื่อการก่อสร้างและซ่อมแซมโครงข่ายถนนในมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยได้ลงทุนในส่วนของห้องปฏิบัติการและโรงงานผลผลิตไปบางส่วนแล้ว

“มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีความยินดีที่ทราบว่ากรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ได้เล็งเห็นถึงปัญหาการจัดการขยะพลาสติกนี้เช่นกัน และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่พร้อมที่จะให้ความร่วมมือและสนับสนุนในด้านวิชาการและทำงานร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อจะส่งเสริมและผลักดันให้เกิดมาตรฐานถนนใหม่ที่มีส่วนผสมของขยะพลาสติก สำหรับประเทศไทยต่อไป โดยขณะนี้กำลังทำการวิจัยถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของถนนที่สร้างจากขยะพลาสติก ”

 

Stay Connected
Latest News