การเผาไหม้ของน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อนรถยนต์นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาวะโลกร้อน หลายๆประเทศจึงออกมารณรงค์การลดการใช้รถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงและสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
เช่นเดียวกับสหราชอาณาจักรที่จะแบนการขายรถยนต์เบนซินและดีเซล ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฮบริดในปี 2035 โดยเมื่อห้าปีก่อนเริ่มแผนเพื่อสร้างแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ที่พยายามดิ้นรนเพื่อรับมือกับยอดขายที่ตกต่ำทั่วโลกและการล่มสลายจากกรณี Brexit เนื่องจากรัฐบาลมีความจริงจังกับการต่อสู้กับภาวะวิกฤติของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเพื่อให้สหราชอาณาจักรบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์หรือ “net zero” ภายในปี 2050
นโยบายดังกล่าวได้สร้างความกังวลให้กับบริษัทผลิตรถยนต์ทั้งหลายที่ต้องการความกระจ่างจากรัฐบาลในการช่วยเหลือด้านการขายรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งมีสถานีชาร์จไม่เพียงพอและอาจจะก่อให้เกิดภาวะว่างงานตามมา
ข้อตกลงใหม่นี้เป็นตัวผลักดันให้สหราชอาณาจักรกลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำที่เลิกใช้รถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยประเทศนอร์เวย์มีแผนจำหน่ายรถยนต์ที่ไร้การปล่อยก๊าซคาร์บอนประเภทรถยนต์ส่วนบุคคลและรถตู้ภายในปี 2025 ส่วนประเทศอินเดียมีแผนขายรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศภายในปี 2030
Rebecca Newsom หัวหน้าด้านการเมืองแห่ง Greenpeace UK กล่าวในถ้อยแถลงว่าการยกเลิกเครื่องยนต์ประเภทสันดาปภายในสหราชอาณาจักรนั้นอาจจะต้องดำเนินการก่อนปี 2030 ด้วยซ้ำเพื่อให้ประเทศมีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ
ด้าน Mike Hawes นายกสมาคมผู้ผลิตและผู้ค้ารถยนต์ เรียกร้องให้รัฐบาลพัฒนาแผนความเข้าใจในการให้ความช่วยเหลืออุตสาหกรรมเพื่อให้ตอบสนองเป้าหมายใหม่นี้โดยเขาได้ให้คำแนะนำว่าแนวทางที่ไร้ซึ่งการวางแผนนี้จะส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ไฮบริดที่มีส่วนช่วยให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศในระยะเวลาอันใกล้นี้ หากสหราชอาณาจักรจะเป็นผู้นำด้านการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์นั้นเราต้องมีตลาดรองรับและสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจที่แข่งขันได้เพื่อสนับสนุนผู้ผลิตด้านการขายและการผลิต วันที่ไม่มีแผนจะทำคุณค่าในวันนี้
อย่างไรก็ตาม Brexit ยังคงสร้างความไม่แน่นอนต่อสหราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้จากภาคการผลิตรถยนต์ของประเทศลดลง 14% เมื่อปีที่แล้ว เช่นเดียวกับ Volkswgen ที่ลงทุนพันล้านเพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแต่ก็ยังคงเกิดคำถามว่าผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศสหราชอาณาจักรจะสามารถแข่งขันด้านซัพพลายเชนและการส่งออกในภาวะความไม่แน่นอนที่เป็นผลกระทบจาก Brexit นี้ได้หรือไม่
credit : edition.cnn.com/2020/02/04/business/petrol-and-diesel-ban-uk/index.html