ตายอย่างสงบศพเป็นปุ๋ย เพื่อการตายที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แม้เราจะเชื่อว่ามนุษย์เกิดจากธรรมชาติและเมื่อสิ้นชีวิตลงร่างกายก็ต้องคืนสู่ธรรมชาติ ด้วยพิธีการฝังหรือเผาและปล่อยเถ้าอังคารลงสู่แม่น้ำ แต่นั่นถือเป็นการกลับสู่ธรรมชาติที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ

ยิ่งในยุคที่สิ่งแวดล้อมกำลังถูกทำลายอย่างรุนแรงสุดจะเยียวยา มนุษย์ที่เสียชีวิตทุก ๆ วันกลับสร้างมลภาวะให้แก่สิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการเผาหรือฝัง วันนี้มีแนวคิดใหม่ที่จะคืนร่างกายมนุษย์กลับสู่ธรรมชาติแบบรักษ์โลก ซึ่งนอกจากจะไม่ทำร้ายโลกแล้ว ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณยังทำประโยชน์ให้กับโลกเป็นครั้งสุดท้ายอีกด้วย


หากพูดถึงการจัดการศพของคนที่เสียชีวิตก็มักจะเป็นไปตามครรลองประเพณีความเชื่อของบุคคลซึ่งมีหลากหลายวิธีแตกต่างกันไป แต่บริษัท Recompose ที่ตั้งอยู่ใน Seattle กลับผุดไอเดียบรรเจิดในการเปลี่ยนร่างไร้วิญญาณกลายเป็นปุ๋ยภายในระยะเวลาเพียง 30 วัน โดยใช้พลังงานเพียง 1 ใน 8 แถมยังช่วยลดการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1 เมตริกตันเมื่อเทียบกับการจัดการศพด้วยวิธีอื่น ซึ่งบริษัทนี้มีศักยภาพสามารถรองรับได้ถึง 75 ศพต่อครั้ง

 

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องขำ ๆ ที่คุยกันไปสภากาแฟ เพราะโปรเจ็คนี้ได้ผ่านการพิจารณาจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ Washington เมื่อต้นปีที่ผ่านมา นับได้ว่าเป็นรัฐแรกที่อนุญาตให้มีการจัดการศพในรูปแบบนี้ด้วยหลักการว่าเป็นการลดสารอินทรีย์ตามธรรมชาตินั่นเอง โดยกฎหมายฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนพฤษภาคม 2563 เมื่อกฏหมายมีการบังคับใช้แล้วจะทำให้ที่เก็บศพสามารถดำเนินการแปลงศพมนุษย์ให้เป็นดินได้อย่างรวดเร็ว และนับเป็นวิธีการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สามารถทำได้ในเขตเมืองที่มีพื้นที่จำกัดสำหรับการฝังศพตามประเพณีเดิม

นอกจากนี้ โปรเจ็คนี้ยังตอบโจทย์คนสายกรีนที่กำลังมองหาวิธีที่จะลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อจำกัดความเสียหายต่อโลกท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“เราถามตัวเองว่าจะสามารถใช้ธรรมชาติในการดูแลจัดการร่างไร้วิญญาณได้อย่างไร และเราก็มองเห็นโอกาสสำหรับช่วงเวลาที่ลึกซึ้งนี้ด้วยการกลับคืนสู่โลกและการเชื่อมโยงตัวเราเองกับวัฏจักรธรรมชาติอีกครั้ง” Katrina Spade, CEO แห่ง Recompose กล่าว

 

โดยกรรมวิธีเปลี่ยนศพเป็นปุ๋ยของ Recompose นั้น เริ่มต้นจากนำศพใส่โลงที่รียูสได้ โรยไม้สับ หญ้าอัลฟัลฟ่า และหญ้าแห้งไว้บนศพและปิดโลงด้วยฝาหกเหลี่ยม ซึ่งอุณหภูมิของศพจะถูกควบคุมไว้ ในขณะที่สภาพแวดล้อมมีอากาศถ่ายเทได้สะดวกทำให้แบคทีเรียที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติสามารถย่อยสลายศพในช่วง 4-7 สัปดาห์ หลังจากนั้นศพจะถูกนำกลับคืนสู่ครอบครัวในรูปแบบของปุ๋ย ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นการจำกัดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาศพและการฝังศพแบบดั้งเดิม ในขณะเดียวกัน วิธีนี้ยังป้องกันการเจือปนของน้ำยาดองศพในดินและน้ำใต้ดินได้อีกด้วย

อย่างไรก็ดี ปุ๋ยที่ได้จากศพมนุษย์บางส่วนสามารถนำไปบริจาคให้กับโครงการดินเพื่อนำไปใช้เพาะปลูกป่าไม้บนภูเขาเบลล์ (Bell Mountain) โดยศพมนุษย์ 1 ศพ สามารถผลิตปุ๋ยได้ถึง 2,000 – 3,000 ปอนด์ สำหรับสถานที่เปลี่ยนศพเป็นปุ๋ยแห่งนี้จะเปิดทำการในปี 2021

Credit : https://www.independent.co.uk/news/science/funeral-green-burial-climate-change-environment-soil-composting-recompose-seattle-a9238896.html?fbclid=IwAR3sFMir-bRZT9-va0xgk3NIovFZNt0n_XG4O6ZCykhzir6I7sSw6WSKAr4

Stay Connected
Latest News

ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค และสเปลล์ เดินหน้าองค์กรสู่ความยั่งยืนทุกมิติ ประกาศความสำเร็จ ติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป รวมกว่า 56,000 ตร.ม. ร่วมลดการใช้พลังงานของประเทศ พร้อมสร้างคุณค่าต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม