เมื่อ SDGs เป้าหมายที่ 3 รับรองการมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในทุกช่วงอายุ เมืองไทยประกันชีวิตตอบโจทย์นี้เป็นครั้งแรก!ของวงการ ส่ง “เบาหวาน BetterCare” ให้ผู้เป็นโรคเบาหวานซื้อประกันชีวิตและสุขภาพ มีเบี้ยประกันยืดหยุ่นตามระดับน้ำตาลสะสมในเลือด
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เทพ หิมะทองคำ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเทพธารินทร์ แพทย์หญิงเมธินี ไหมแพง ผู้ช่วยประธานประธานคณะผู้บริหาร กลุ่ม 1 และผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ และดร.นายแพทย์ตุลวรรธน์ พัชราภา ผู้อำนวยการปฏิบัติการโรงพยาบาลเวชธานี ซึ่งเป็นพันธวิตรของเมืองไทยประกันชีวิต แสดงความเห็นที่คล้ายกันต่อผลิตภัณฑ์ “เบาหวาน BetterCare”คือ
“เรื่องนี้ไม่ใช่ประโยชน์บริษัทประกัน หรือโรงพยาบาล หรือแม้กระทั่งคนเป็นเบาหวาน
แต่สิ่งนี้เป็นประโยชน์ของมนุษยชาติ ถือเป็น Pioneer ของโลก”
ทั้งนี้ โรงพยาบาลเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยกว่าคนเป็นเบาหวาน เพราะเป็นเรื่องใหม่ โดยจับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนทั่วไปที่ดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะจากงานวิจัยการเป็นโรคเบาหวาน 30% มาจากพันธุกรรม 40% มาจากสุขภาพที่เราดูแล และ 30% มาจากสังคมที่เราอยู่
คนเป็นเบาหวาน คนที่ดูแลคนเป็นโรคนี้ก็คือ ตัวเอง ด้วยการเลือกใช้พฤติกรรมรวมถึงเลือกวิถีชีวิต เลือกอาหารมีส่วนสำคัญมากเท่าๆ กับการออกกำลังกาย ซึ่งเหล่านี้จะสามารถลดระดับน้ำตาลสะสมในเลือด นั่นเท่ากับว่าเบี้ยประกันก็ลดลงไปด้วย
“ในปัจจุบันประกันสุขภาพส่วนใหญ่ไม่สามารถรับคุ้มครองผู้ที่เกิดอาการเจ็บป่วยแล้วเนื่องจากความเสี่ยงที่สูงเกินไปแต่ผู้ป่วยเหล่านี้มีความต้องการความคุ้มครองเพื่อช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้น เมืองไทยประกันชีวิตเล็งเห็นความต้องการของคนจำนวนมากนี้ประกอบกับเทคโนโลยีในด้าน Healthcare ที่พัฒนาขึ้นมากมายสามารถช่วยผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางโรคให้มีความสามารถในการดูแลตนเองติดตามผลและในหลายๆ โรคสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้สุขภาพดีขึ้นได้”
สาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า เบาหวานเบทเทอร์แคร์” เป็นแบบประกันภัยสำหรับผู้เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 โดยเฉพาะ ขายผ่านช่องทางออนไลน์ เพียงเข้าไปที่เว็บไซต์ www.mtlBetterCare.com โดยความคุ้มครองครอบคลุมทั้งกรณีเจ็บป่วยและเสียชีวิต มีจุดเด่นอยู่ 3 ประการ ประกอบด้วย
1.การให้สิทธิผู้เอาประกันภัยสามารถควบคุมค่าเบี้ยของตนเองได้ โดยจะใช้ระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) ของตนเองเป็นตัวตั้ง กล่าวคือหากระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) ของผู้เอาประกันภัยลดลง เบี้ยประกันก็จะลดลงตามไปด้วย ซึ่งส่วนลดที่ได้รับสามารถลงได้มากกว่า 40% โดยที่ความคุ้มครองคงเดิม การปรับเบี้ยนี้จะเกิดขึ้นทุกๆ 6 เดือนเมื่อผู้เอาประกันภัยส่งผลระดับน้ำตาลสะสมในเลือด HbA1C ใหม่ผ่านช่องทาง Online และสามารถทราบและชำระเบี้ยในอัตราใหม่ได้ทันที
2. ผู้เอาประกันภัยจะได้รับความคุ้มครองที่เกี่ยวข้องกับโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวานทั้งระยะแรก (กลุ่มที่ 2) และระยะรุนแรง (กลุ่มที่ 1) รวมถึงยังได้สิทธิในการเบิกค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) จากการเจ็บป่วยทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานก็ได้ และการเปลี่ยนถ่ายไตและการฟอกไตจากโรคเบาหวาน
3. ผู้เอาประกันภัยยังสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันบนมือถือที่ถูกพัฒนามาเพื่อการดูแลและช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้เป็นโรคเบาหวาน โดยผู้ใช้งานสามารถติดต่อ (Chat) กับนักโภชนาการได้ไม่จำกัดครั้ง สามารถสอบถามเพื่อรับคำแนะนำในการปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องทั้งการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายตลอดระยะเวลาเอาประกันโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดยเกณฑ์ของผู้ที่เอาประกัน คือต้องเป็นผู้ถูกวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานประเภทที่ 2 มาไม่เกิน 15 ปี มีอายุระหว่าง 21-70 ปี มีระดับนำตาลสะสมหรือ HbA1c ไม่เกิน 10 ไม่ใช้อินซูลิน (Insulin) และไม่เคยมีโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานมาก่อน โดยที่ระยะเวลาเอาประกันภัย 2 ปี ระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัย 2 ปี โดยชำระเบี้ยประกันภัยราย 6 เดือน และเบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้บางส่วนตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรอีกด้วย
เพื่อการตอบโจทย์และการเชื่อมต่อ Ecosystem Partner ที่ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น ยังได้ผนึกกับพันธมิตรด้านสุขภาพ ด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทั้ง Tech และ Non Tech ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพ (ซอยศูนย์วิจัย) โรงพยาบาลเทพธารินทร์ และโรงพยาบาลเวชธานี ที่จะมีการจัดสัมมนาและกิจกรรมให้ความรู้ต่อผู้เป็นโรคเบาหวาน รวมถึงบริษัท Prenetics ที่มาช่วยพัฒนา MTL BetterCare ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันบนมือถือที่จะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบริการนักโภชนาการเพื่อรับคำปรึกษาด้านการทานอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม และบริษัท Roche Diagnostics (Thailand) ที่จะมอบชุดเครื่องตรวจน้ำตาล Accu-Chek ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้วัดผลได้เองที่บ้าน เพื่อนำไปใช้ประกอบคำแนะนำจากนักโภชนาการให้แก่ผู้ที่ เข้าร่วมโครงการ รวมถึงความร่วมมือกับบริษัท Swiss Re ในการร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดย Fuchsia Innovation Centre