ถือเป็นโมเดลเกษตรผสมผสานนำร่องของเครือซีพี.เลี้ยงไก่ชน เลี้ยงหมู เลี้ยงกบ และ ปลูกผัก ส่งผลให้ข้าราชการตำรวจในโครงการ มีบ้านพร้อมที่ดินคนละ 600 ต.ร.ว. รวมที่ทำกินส่วนรวมอีก 180 ไร่ที่ทำการเกษตรหาเลี้ยงชีพได้อย่างยั่งยืน
ณ หมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ ต.นาวังหิน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี บรรยากาศคึกคักแต่เช้า เพราะวันนี้ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง อาทิ สุภกิต เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ อดิเรก ศรีประทักษ์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) เดินทางมาร่วมงานพิธีมอบกรรมสิทธิ์ “โครงการเกษตรสันติราษฎร์” ให้แก่ข้าราชการตำรวจ
ในงานนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีฯ พร้อมด้วย ชายชาญ เอี่ยมเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เสนธิป ศรีไพพรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ธนาคาร TMB มาร่วมพิธีในงาน “10 ปี หมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์” เพื่อมอบกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินให้เช่าเพื่อธุรกิจเกษตร ให้กับข้าราชการตำรวจ 31 นาย
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความยินดีในโอกาสครบรอบ 10 ปีหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ โดยโครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ได้เป็นต้นแบบในการส่งเสริมชีวิตและความเป็นอยู่ของตำรวจจำนวน 31 ครอบครัวจากสถานีตำรวจภูธรเกาะจันทร์ จ.ชลบุรี ทำให้ตำรวจมีรายได้เสริม และสามารถมีบ้านและที่ดินเป็นของตนเองได้ ถือเป็นโครงการต้นแบบในการเพิ่มรายได้ เสริมสวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อ
จากนั้นศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า โครงการฯนี้เกิดขึ้นจากแนวคิดของเจริญโภคภัณฑ์เพื่อสนับสนุนภาครัฐภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักคุณค่า 3 ประโยชน์ของเครือเจริญโภคภัณฑ์คือ การลงทุนที่สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศ ให้กับประชาชนและสามารถดำเนินการต่อเนื่องเพื่อความยั่งยืน เพื่อส่งเสริมให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยได้สร้างครอบครัว มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างยั่งยืน
โมเดลนำร่อง ” 1 หมู่บ้าน4 รายได้”
พ.ต.อ.ภูริวัจน์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บังคับการ ตำรวจภูธร ในฐานะประธานคณะกรรมการ หมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ เล่าถึงที่มาของโครงการนี้ว่า เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว เจ้าสัวธนินท์ ซึ่งเดินทางมาพนัสนิคมอยู่เป็นประจำเพื่อมาดูฟาร์มเลี้ยงไก่ชน และได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยของโรงพักภูธรเกาะจันทร์ที่ขาดแคลน
“ ท่านถามผมว่า ถ้าท่านจะสร้างอาชีพเสริม สร้างที่อยู่อาศัย มีที่ทำกินให้จะเอามั๊ย ผมก็ตอบว่าเอาครับ จากนั้นก็ไปชวนตำรวจในโรงพักให้มาร่วมโครงการนี้”
ในที่สุดก็มีข้าราชการตำรวจของโรงพักเกาะจันทร์จำนวน 31 นายที่พร้อมใจกันเข้าร่วม “โครงการเกษตรสันติราษฎร์” โดยกู้เงินจากธนาคาร TMB จำนวน 56.3 ล้านบาท เพื่อไปซื้อที่ดิน 230 ไร่ ที่ ต.นาวังหิน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ส่งผลให้สมาชิก 31 คนจะต้องรับภาระหนี้คนละ 2 ล้านกว่าบาท โดยนำรายได้จากการทำการเกษตรมาใช้หนี้โครงการภายในระยะเวลา 10 ปี
“ ที่ดินตรงนี้เคยเป็นป่ายูคาลิปตัสมาก่อนแล้วปล่อยร้าง มีแต่หิน ทางซีพีมาพลิกผืนดินทั้งหมดให้เป็นบ้านและที่ทำกินของพวกเรา แม้ว่าเราเริ่มจากเป็นหนี้คนละ 2 ล้านกว่า แต่เราเชื่อมั่นว่าซีพีจะทำให้พวกเราสามารถปลดหนี้ได้หมด”
โมเดลเกษตรผสมผสาน แบบมีที่อยู่อาศัยพร้อมที่ดินเกษตรทำกินนี้ นำที่ดินจำนวน 230 ไร่ แบ่งพื้นที่ 50 ไร่ ไว้เป็นบ้านพัก 31 หลัง ๆ ละ 600 ตารางวาจัดสรรให้แก่สมาชิก แต่ละแปลงจะมีบ้านสองชั้น 1 หลัง มีโรงเรือนสำหรับเลี้ยงไก่พื้นเมือง 1 หลัง โดยซีพีจะมอบไก่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์บ้านละ 1 คู่ หลังจากเพาะลูกไก่มาได้แล้ว ซีพีจะรับซื้อคืนตัวละ 300 บาท ทำให้แต่ละครอบครัวมีรายได้เดือนละ 3,000 -10,000 บาท เพื่อนำมาเลี้ยงครอบครัว
ส่วนที่ดินที่เหลืออีก 230 ไร่เป็นส่วนกลางของโครงการฯ ซึ่งซีพีทำสัญญาเช่าจากโครงการฯเพื่อบริหารจัดการทำการเกษตร 3 อย่างคือ เลี้ยงหมู เลี้ยงกบ และปลูกผักปลอดสารพิษ โดยจ้างชาวบ้านรอบ ๆ โครงการ 75 รายช่วยทำการเกษตร เกษตรส่วนนี้สามารถสร้างรายได้เดือนละประมาณ 6 แสนบาท เพื่อนำไปผ่อนชำระเงินกู้ของโครงการ และสามารถปลดหนี้สินได้หมดภายใน 10 ปี
หลังจากปลดหนี้เสร็จหมดแล้ว จากนี้ไปรายได้จากการทำเกษตรในเนื้อที่ 230 ไร่จะแบ่งให้สมาชิกเฉลี่ยเดือนละเกือบ 2 หมื่นบาท สร้างชีวิตที่มั่นคงยั่งยืน
10 ปีชีวิตแฮปปี้มีความสุข
ด.ต.สุทธิธนันท์ ลำสมบัติ พร้อมด้วยศิริรัตน์ ผู้เป็นภรรยา เจ้าของบ้านเลขที่ 159/17 ในโครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ เล่าด้วยน่ำเสียงสั่นเครือว่า
“ เป้าหมายในชีวิตผมคือก่อนอายุ 40 ปี ผมจะต้องมีที่สักแปลง มีบ้านหลังหนึ่ง มีรถคันหนึ่งและมีครอบครัวที่อบอุ่น”
ช่วงตลอด 10 ปีที่เข้าโครงการนี้ ด.ต.สุทธิธนันท์เล่าว่าทุกคนเชื่อมั่นในองค์กรซีพี เมื่อซีพีให้เลี้ยงสัตว์หรือปลูกผักอะไรพวกเขาจะทำตามทุกอย่าง ขณะที่มีหลายครอบครัวที่เข้าร่วมโครงการถอนตัวไปบ้างจนเหลือ 31 ครอบครัวในปัจจุบัน
วันนี้ ด.ต.สุทธิธนันท์ อายุ 47 ปี มีความฝันของเขาก็เป็นจริงครบหมดทุกอย่าง เพราะการตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกโครงการฯ เมื่อปี 2549 ด้วยความเชื่อมั่นองค์กรยักษ์ใหญ่อย่างซีพี ที่มาทำโครงการนี้ให้ ศิริรัตน์จึงยอมละทิ้งอาชีพพยาบาลมาเป็นแม่บ้านพร้อมทั้งเรียนรู้การเลี้ยงไก่ชน เพื่อหารายได้เสริมเดือนละไม่ต่ำกว่า 3,000 บาทมาเลี้ยงครอบครัว
“ซีพีช่วยเราสู้เรื่องหนี้สิน มาจนสามารถปลดหนี้ได้ ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนถูกรางวัลที่ 1 เลย ยิ่งกว่าถูกหวยอีก เพราะเรามีครบทุกอย่างและยังมีที่ทำกินไปจนถึงลูกหลาน”
เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ กล่าวในท้ายที่สุดถึงโครงการนี้ว่า
“ผมเห็นว่าข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย ต้องโยกย้ายบ่อย ชีวิตนี้ไม่มีวันมีบ้านของตัวเอง สภาพความเป็นอยู่ไม่ดี แล้วพอเกษียณ ตำรวจผู้น้อยเหล่านี้ไม่มีบ้าน เดือดร้อนในบั้นปลายชีวิต ทางเครือซีพีจึงคิดว่าน่าจะทำเป็นตัวอย่างให้ตำรวจผู้ใหญ่รับรู้ว่า ผู้น้อยที่อยู่ตามโรงพัก พอเกษียณแล้วจะไม่มีบ้านอยู่อาศัย”
“ผมยังบอกท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านไปหา 10 โรงพักมาเลย ในที่ที่เหมาะสม เราจะไปทำให้ แล้วอะไรเรียกว่ายั่งยืน ยั่งยืนคือต้องกู้เงินและจ่ายดอกเบี้ยได้ คืนเงินต้นได้ จ่ายดอกเบี้ยได้แล้วยังมีกำไร นั่นถึงจะยั่งยืน แต่ถ้าให้เปล่าเขาจะอยู่ได้ยังไง”