Soneva Kiri เกาะกูด เที่ยวแบบ Eco ในสวรรค์บนดิน

Eco Tour เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่เจ้าของรีสอร์ทภูมิใจนำเสนอ และเหล่านักท่องเที่ยวแทบทุกคนก็สนใจที่จะเข้าไปสัมผัส เพื่อไปดูการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าของรีสอร์ทแห่งนี้ให้ความสำคัญที่สุด

โสนุ ชิฟดาซานี ( Sonu Shivdasani) เจ้าของ Soneva Kiri ให้นโยบายกับพนักงานทุกคนว่า ห้ามตัดต้นไม้ในรีสอร์ทของเขาเด็ดขาด ดังนั้นบริเวณรอบๆ รีสอร์ทจึงปกคลุมด้วยต้นไม้ขนาดใหญ่ที่กลายเป็นแหล่งผลิตโอโซนธรรมชาติขนาดใหญ่

นอกจากนี้ ยังเปลี่ยนพื้นที่ที่เคยใช้เก็บขยะ กว่า 3 ไร่ ให้กลายเป็นแหล่ง Eco Zone ในการบริหารจัดการของเสียทั้งหลายเพื่อนำมาบำบัดใหม่โดยไม่ทิ้งลงทะเลให้กลายเป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียทั้งหมดของโรงแรมจะถูกนำมาบำบัดแบบชีวภาพในบ่อขนาดใหญ่ 4 แห่ง จนกลายเป็นน้ำดีที่สามารถนำกลับไปใช้รดน้ำต้นไม้และเลี้ยงปลาได้

เมื่อก่อนทางรีสอร์ทแห่งนี้ สร้างขยะถึงเดือนละ 10 ตัน จึงมีการบริหารจัดการกับขยะ โดยแยกขยะที่สามารถนำไปใช้ใหม่ได้ อาทิ ถุงพลาสติกที่มากับบรรจุภัณฑ์อาหาร กล่องกระดาษ ขวดพลาสติกสามารถนำไปขาย มีรายได้กลับมา 170,000 บาทต่อปี

ส่วนที่เป็นเศษขยะจากครัว ซึ่งมีมากถึง 50 % ของขยะทั้งหมด หรือประมาณ 4,000 – 5,000 กิโลกรัมต่อเดือน ถูกนำไปแปรสภาพกลายเป็นปุ๋ยหมักถึง 10 ตันต่อเดือน เพื่อนำไปใช้กับพืชผักผลไม้ที่ปลูกภายในโครงการ เพื่อให้ได้พืชผักออแกนิกป้อนให้ทุกห้องอาหารของรีสอร์ท เป็นการปะหยัดงบประมาณในการซื้อปุ๋ยและซื้อวัตถุดิบมาปรุงอาหาร ส่วนน้ำมันที่ใช้แล้วจากครัว ก็นำมากลั่นเป็นไบโอดีเซล เพื่อนำกลับมาใช้กับเครื่องตัดหญ้า

อีกสิ่งหนึ่งที่โสนุห้ามเด็ดขาดคือ Soneva Kiri จะไม่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกเด็ดขาด ดังนั้นน้ำดื่มในห้องพักตลอดจนน้ำดื่มในห้องอาหารจะบรรจุในขวดแก้ว ที่สามารถนำกลับมาใช้ได้ใหม่ แม้ว่าจะเพิ่มภาระในการล้างขวดก็ต้องยอม เพื่อแลกกับการลดขยะไม่ให้เป็นภาระต่อโลก

สิ่งที่ต้องปรบมือดังๆ ให้กับโSoneva Kiri ก็คือ การเคารพและให้เกียรติต่อธรรมชาติมาก โดยต้นไม้ทุกต้นที่อยู่ในพื้นที่ 400 ไร่ ห้ามตัดโค่นนอกจากจะเป็นต้นไม้ตายซากเอง ส่วนกิ่งไม้ที่ตัดเพราะการตกแต่งหรือป้องกันไม่ให้ต้นไม้ใหญ่จนเกินไป หลายแห่งอาจจะนำกิ่งไปเผาทิ้ง แต่สำหรับที่นี่จะนำกิ่งไม้ไปเผาเป็นถ่านไม้เพื่อนำกลับไปใช้ปิ้งย่างอาหาร เรียกได้ว่านำทุกอย่างที่มาจากธรรมชาติมา Reuse ให้เป็นประโยชน์ได้ทั้งหมดโดยไม่มีการทิ้งให้เสียของเลย

โครงการ Eco Zone นี้ มอบให้ ฐิติพันธ์ พรหมเจียม เป็น Landscape Manager บริหารจัดการทั้งหมด และจ้างฝรั่งชาวเนเธอร์แลนด์ ซึ่งจบปริญญาโทด้านชีววิทยา มาอยู่ในทีมงานและเป็นไกด์นำแขกต่างชาติทัวร์ Eco Zone ด้วย

รับรองว่าเมื่อคุณได้ผ่านประสบการณ์ Eco Zone ได้รับรู้ถึงการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับการใช้ทรัพยากรทุกอย่างให้คุ้มค่า จะช่วยปลุกจิตสำนึกให้เราหันกลับมาสนใจกับสิ่งรอบตัวที่จะช่วยกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่เริ่มจากในบ้านตัวเองก่อน

สวรรค์บนดิน

Soneva Kiri เกาะกูด เป็นรีสอร์ทระดับ 6 ดาว ร่ำลือกันว่าเป็นสุดยอดที่พักหรูหรา ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม มีความเป็นส่วนตัวสูงและราคาแพงจนน้อยคนที่จะมีโอกาสเข้าไปสัมผัสถึงอาณาจักร 400 ไร่บนเกาะกูดแห่งนี้

เกาะกูดเป็นเกาะใหญ่อันดับ 4 ของประเทศไทย ตั้งอยู่จังหวัดตราด ความที่การเดินทางไปเกาะกูดนั้นค่อนข้างยุ่งยากคือขับรถส่วนตัวหรือรถทัวร์ไปยังจังหวัดตราดใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง แล้วยังต้องต่อเรือไปยังเกาะอีก กลายเป็นอุปสรรคที่ทำให้นักท่องเที่ยวไปกันน้อย แต่เป็นข้อดีคือที่นี่ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก ท้องฟ้าสีครามตัดกับหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลใสราวกระจก รวมทั้งต้นไม้ในเขตป่าฝนที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ กลายเป็นเสน่ห์สำหรับนักท่องเทียวที่ต้องการมาใช้ชีวิตแบบ Slow Life

เจ้าของโซเนวา คีรี เกาะกูดคือโสนุ นักธุรกิจชาวอินเดียที่เกิดและเติบโตที่อังกฤษ ก่อนหน้านี้เขาลงทุนทำรีสอร์ทที่คุ้นหูหลายแห่งเช่น เอวาซอนและ Six Sense ภายใต้แนวคิด “เป็นมิตรและรักษาสิ่งแวดล้อม”

แต่ปัจจุบันโสนุขายรีสอร์ทที่เขามีอยู่ทั้งหมด คงเหลือเพียง 2 แห่งเท่านั้นยังคงเป็นของรักของหวงของเขาคือ โซเนวา ฟูชิ ประเทศมัลดีฟส์และโซเนวา คีรี รีสอร์ท เกาะกูด ประเทศไทย

ดังนั้น คอนเฟิร์มเลยว่า โซเนวา คีรี รีสอร์ท เกาะกูดจะต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ !!!

เริ่มจากราคาขายเป็นแพคเกจรวมค่าเดินทาง ห้องพักและอาหารเช้า สนนราคาเริ่มต้นที่สองหมื่นกว่าบาท จนถึงแสนกว่าบาท ขึ้นอยู่กับฤดูกาลท่องเที่ยวและขนาดของห้องด้วย แม้ว่าราคาจะสูงลิบลิ่วแต่โซเนวา คีรี รีสอร์ทเกาะกูดก็ไม่เคยเงียบเหงา เพราะมีแขกมาเยือนตลอดทั้งปี ที่นี่มีอะไรดี ลองไปตค้นหากัน

เริ่มต้นการเดินทางก็สมกับคำว่า Very VIP แล้ว เพราะทุกคนที่ไปพักรีสอร์ทแห่งนี้จะเดินทางไปและกลับด้วยเครื่องบินส่วนตัว ไปเช็คอินเคาท์เตอร์พิเศษที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นก็เดินสวย ๆ เข้า Gateไปขึ้นเครื่องบินขนาด 6 ที่นั่ง ภายในมีเครื่องดื่ม และสแนคให้ขบเคี้ยวตลอดการเดินทาง (นักบินหล่อมาก) โดยเครื่องบิน บินในระดับค่อนข้างต่ำจึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์ตลอดการเดินทาง เพลิดเพลินดี เผลอแป๊บก็ถึงลานจอดเครื่องบิน จากนั้นนั่งสปีดโบ๊ทไปอีก 5 นาทีก็ถึงแดนสวรรค์อันเงียบสงบ โดยใช้เวลารวมทั้งสิ้น 90 นาที

ขึ้นจากเรือจะพบกับรอยยิ้มต้อนรับของ Mr./Ms. Friday หรือ Butler ที่จะคอยดูแลแขกประจำวิลล่าตลอดช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ที่พิเศษไม่เหมือนที่อื่นๆ คือ การเชิญชวนให้แขกผู้มาเยือน “ No Shoes” คือถอดรองเท้า แล้วเดินเท้าเปล่าเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติที่ล้อมรอบเราอยู่อย่างใกล้ชิด

โซเนวา คีรี มีห้องพักแบบวิลล่าทั้งหมด 36 หลัง มีตั้งแต่ 1 ห้องนอนไปจนหลังขนาดใหญ่ 6 ห้องนอน ทุกหลังมีสระน้ำส่วนตัวตั้งอยู่บนพื้นที่ชายหาดบ้าง บนเขาบ้าง แต่ทั้งหมดจะหันหน้าสู่อ่าวไทย วิลล่าแต่ละหลังจะอยู่ค่อนข้างห่างกัน โอบล้อมรอบด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ทำให้รู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว วิวล่าทุกหลังสร้างจากไม้และไม้ไผ่ ให้ความรู้สึกแอบอิงไปกับธรรมชาติแบบไม่เว่อร์วัง แต่ก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทุกคนจะจดจำได้อย่างดีเมื่อมาพักกับรีสอร์ทในเครือของคุณโสนุ

แพคเกจ 2 คืน 3 วันจะผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว เพราะที่นี่เน้นกิจกรรมให้ลูกค้าได้ร่วมสัมผัสกับประสบการณ์ที่ไม่เคยพบเจอที่ไหนมาก่อน อย่างเช่นการรับประทานอาหารบน “ทรี พอท” ที่สร้างเหมือนรังนกอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ชักรอกด้วยลวดสลิงเส้นใหญ่ขึ้นไปบนต้นไม้ที่ความสูงเท่ากับตึก 3 ชั้นซึ่งไม่สูงจนน่ากลัว โดยมีทาร์ซานหนุ่มน้อยโหนเถาวัลย์มาเสิร์ฟเมนูแสนอร่อย จิบไวน์เย็น ๆ รอดูพระอาทิตย์ตกถือเป็นประสบการณ์สุดแสนโรแมนติกน่าประทับใจมาก ซึ่งต้องจองล่วงหน้า เพราะลูกค้าแทบทุกคนอยากจะมาสัมผัสการทานอาหารบนยอดไม้กันทั้งนั้น

ถ้าอยากสัมผัสกับท้องฟ้าสีครามตัดกับหาดทรายขาว ทางรีสอร์ทมีบริการพาไปที่ North Beach นั่งเรือสปี๊ดโบทไปเพียง 10 นาทีก็จะพบกับหาดส่วนตัวกว้างสุดลูกหูลูกตา ในวันฟ้าใส หาดแห่งนี้จะสวยงามมาก เรียกว่าท้องฟ้าสีคราม น้ำทะเลสีมรกต มีแนวยอดมะพร้าวพลิ้วไหวไปตามลม นอนอ่านหนังสือชิลล์ๆ บนเตียงผ้าใบ สั่งเครื่องดื่มหรืออาหารจานง่ายๆ มาทาน มองดูเด็กน้อยสนุกกับน้ำทะเล เป็นความสุขใจของคนเมืองที่หนีความวุ่นวายมาเสพย์สุขอย่างใกล้ชิดกับธรรมชาติ

หรือจะถีบจักรยานเที่ยวรอบๆ รีสอร์ท และอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดคือ นั่งเรือลัดเลาะแม่น้ำไปชมหิ่งห้อยที่มีอยู่เต็มคุ้งน้ำ พร้อมกับแวะดินเนอร์สำรับอาหารไทยฝีมือแม่ครัวมือหนึ่งของรีสอร์ท

ถ้าหิวเมื่อไหร่ก็เรียกรถกอล์ฟไปส่งที่ Food Arena เป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ เป็นบ้านไม้หลาย ๆ หลัง เชื่อมกันด้วยทางเดินที่ทำจากไม้สน ซึ่งทางรีสอร์ทบอกว่าเป็นไม้สนจากนิวซีแลนด์ที่ปลูกเพื่อนำมาขายและมีการปลูกทดแทน

บริเวณนี้จัดเป็นพื้นที่ส่วนกลาง เสิร์ฟบุฟเฟ่ต์เช้าและเย็น ส่วนกลางวันเป็น a Lar Carte จานง่าย ๆ มีห้องช็อกโกแลต Ever Soneva So Chocoholic ที่เชฟเตรียมช็อกโกแลตชิ้นเล็ก ๆ หลากหลายรสชาติ ให้เหล่าช็อกโกแลต เลิฟเวอร์ได้หยิบชิมฟรีตลอดทั้งวัน รวมถึงมุมไอศกรีมโฮมเมดกว่า 20 รสชาติที่หมุนเวียนมาบริการฟรีให้กับแขกตลอดทั้งวันเช่นกัน นอกจากนี้ยังมี Cheese Room หอดูดาวและห้องเลี้ยงเด็กไว้บริการแขกครอบครัวที่มีลูกน้อยมาด้วย

ยามพลบค่ำหลังจากอิ่มเอมกับดินเนอร์มื้อพิเศษแล้ว ถ้ายังไม่ง่วงขอแนะนำให้เปลี่ยนบรรยากาศดูหนังจากจอทีวีในห้องนอน มาย้อนยุคสู่หนังกลางแปลงแบบบ้าน ๆ เหมือนสมัยตอนเด็กๆ ที่เราเคยดูกันตามต่างจังหวัด ที่เรียกว่า Cinema Paradise โดยกางผ้าใบจอยักษ์อยู่กลางน้ำ ส่วนที่นั่งเป็นอัฒจันทร์มีฟูกนุ่มๆ สามารถเอนนอนดูหนังไปมองดูดาวเต็มท้องฟ้าไปด้วย อย่าลืมสั่งป๊อบคอร์น และน้ำอัดลมมาขบเคี้ยวเล่นเพลินดี เป็นประสบการณ์ที่พิเศษให้ความรู้สึกเหมือนปลดปล่อยความเครียดไปกับท้องฟ้าอันกว้างใหญ่

ทั้งหมดนี้คือความสะดวกสบาย เพื่อแขกที่มาพักผ่อนจะได้สัมผัสความสุขกับธรรมชาติบริสุทธิ์รอบตัว สูดโอโซนเข้าเต็มปอด แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่แขกทุกคนโดยเฉพาะชาวยุโรปมาพักและพึงพอใจมากกว่าความสะดวกสบายที่ได้รับ นั่นคือการบริหารจัดการภายใต้แนวคิด “ เป็นมิตรและรักษาสิ่งแวดล้อม” ซึ่งกลายเป็นจุดขายที่เข้มแข็งจนได้รับรางวัลจาก World Travel and Tourism Council’s  Tourism for Tomorrow Award  2015

 

 

Stay Connected
Latest News