Booking.com เผยการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้วางแผนเที่ยว จัดทริปที่ได้ดูแลสุขภาพไปด้วย และทำลิสต์เดินทางในฝันสุดยิ่งใหญ่ให้เป็นจริง คือเทรนด์ที่จะมาแรงในปี 2561 ลองมาดูกันว่าผู้เดินทางคาดหวังจะสัมผัสกับสิ่งใดบ้างในปีหน้า
1.นิยามใหม่ของเทคโนโลยี
ประสบการณ์เสมือนจริง (Immersive experiences) จะพัฒนาไปอีกระดับในปี 2561 เนื่องจากผู้เดินทางต่างใช้เทคโนโลยีเพื่อหาข้อมูลที่ละเอียดขึ้นเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางหรือที่พักก่อนตัดสินใจจอง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และดิจิทัลเทคโนโลยีจะมีส่วนช่วยลดความยุ่งยากให้กับผู้บริโภค เพราะสามารถคาดการณ์และตัดสินใจเลือกจุดหมายที่เหมาะสมให้ได้อย่างชาญฉลาด รวมถึงเปลี่ยนวิธีที่เราค้นหา จอง และสัมผัสการเดินทางแบบเดิมๆ ผู้เดินทางทั่วโลกเกือบ 1 ใน 3 (ร้อยละ 29) กล่าวว่ารู้สึกสะดวกสบายเมื่อให้คอมพิวเตอร์ช่วยวางแผนทริปครั้งถัดไปโดยอ้างอิงจากประวัติการเดินทางครั้งก่อนๆ
นอกจากนี้ผู้เดินทางจำนวนกว่า 6 ใน 10 (ร้อยละ 64) เผยว่าต้องการ “ลองก่อนซื้อ”ผ่านการใช้เวอร์ชวลเรียลลิตี (Virtual Reality) เรียกได้ว่าเทคโนโลยีสามารถช่วยขจัดความเครียดและความยุ่งยากต่างๆ เกี่ยวกับการตัดสินใจในการท่องเที่ยว และในปี 2561 เทคโนโลยีก็จะยังคงช่วยแนะนำผู้เดินทางให้ค้นหาที่พักอย่างราบรื่นและมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ดีที่สุดได้
2.ฝันที่กลายเป็นจริง
ในปี 2561 เรียกได้ว่าเป็นปีแห่งการฝันให้ไกล เพราะผู้เดินทางกว่าร้อยละ 45 ต่างมีรายการของทริปที่อยากไปอยู่ในใจ และส่วนใหญ่ (ร้อยละ 82) ตั้งเป้าว่าปีหน้าจะออกเดินทางไปให้ได้อย่างน้อย 1 จุดหมายที่ตั้งใจไว้ ความต้องการที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ นั้นยังคงมีความสำคัญกว่าการได้ครอบครองวัตถุสิ่งของ อีกทั้งยังเป็นสิ่งกระตุ้นให้ผู้คนอยากออกเดินทางและผจญภัยไปในทริปที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำอีกเรื่อยๆ
ทริปที่ติดอันดับต้นๆ ที่หลายคนตั้งใจจะทำคือการเยือนหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก โดยผู้เดินทางเกือบครึ่ง (ร้อยละ 47) ตั้งเป้าว่าจะทำให้สำเร็จในปี 2561 และกว่า 1 ใน 3 (ร้อยละ 35) กระตือรือร้นที่จะได้ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นให้ถึงรสชาติ ส่วนอีกร้อยละ 34 อยากไปเกาะที่มีบรรยากาศดั่งสรวงสวรรค์ และอีกร้อยละ 34 อยากกระตุ้นอะดรีนาลีนที่สวนสนุกชื่อดังระดับโลก
3.เยือนสถานที่ในความทรงจำ
แม้เทรนด์การออกสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ จะกำลังมาแรง แต่ในปี 2561 นี้ผู้เดินทางต่างก็วางแผนที่จะไปเยือนสถานที่โปรดปรานในวัยเด็กด้วยเช่นกัน โดยผู้เดินทาง 1 ใน 3 (ร้อยละ 34) กล่าวว่าจะพิจารณาวางแผนกลับไปเยือนสถานที่ในความทรงจำเหมือนที่เคยสัมผัสสมัยเด็กๆในปีหน้าแต่จะเลือกออกสำรวจจุดหมายดังกล่าวในแบบที่ต่างจากเดิม
เทรนด์การเดินทางย้อนความทรงจำนั้นกำลังเป็นที่นิยม เนื่องจากผู้เดินทางจะได้หวนคิดถึงช่วงเวลาแห่งความสุขในอดีต เมื่อเดินทางไปถึงยังจุดหมายแห่งความทรงจำดังกล่าวแล้ว นอกจากนี้ผู้เดินทางต่างเห็นตรงกันว่าการพักร้อนพร้อมครอบครัวเมื่อตอนเด็กๆ เป็นความทรงจำอันแสนล้ำค่ามากที่สุด ซึ่งทำให้พวกเขามีความสุขยิ่งกว่าการมีความรักสมัยเด็กหรือเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงของครอบครัวเสียอีก
4.เลือกเดินทางตามกระแส Pop Culture
ในปี 2561 รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ กีฬา และโซเชียลมีเดีย มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นอย่างมากต่อการตัดสินใจจองทริปท่องเที่ยวต่างๆ เพราะผู้เดินทางต่างใช้ป๊อปคัลเจอร์เป็นแรงบันดาลใจในการออกเดินทาง กล่าวคือ 4 ใน 10 ของผู้เดินทาง (ร้อยละ 39) ได้ไอเดียการท่องเที่ยวจากการอ่านบล็อกหรือดูคลิปแนะนำของเหล่ายูทูปเบอร์ ส่วนอีกกว่า ร้อยละ 36 กล่าวว่าสถานที่ซึ่งเคยปรากฏในทีวี ภาพยนตร์ หรือเอ็มวีเพลง นั้นถือเป็นแรงจูงใจให้ลองไปเยือนสักครั้งในปีที่จะมาถึง
สถานที่ยอดนิยมจากรายการโทรทัศน์ซึ่งผู้เดินทางต้องการไปเยือนมากที่สุดในปี 2561 ได้แก่ โครเอเชีย สเปน และไอซ์แลนด์ โดยมีแรงบันดาลใจจากซีรี่ย์เรื่อง Game of Thrones (ร้อยละ 29) ตามมาด้วยลอนดอนซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำเรื่อง Sherlock และ The Crown (ร้อยละ 21 และร้อยละ 13 ตามลำดับ) นิวยอร์กและแมนฮัตตันซึ่งเป็นฉากของเรื่อง Billions (ร้อยละ 13) และลอสแอนเจลิสตามที่เห็นในเรื่อง Entourage (ร้อยละ 10)
5.การเดินทางคือการดูแลสุขภาพไปพร้อมกัน
เทรนด์การท่องเที่ยวที่ได้ดูแลสุขภาพไปด้วยนั้นไม่ได้ฮอตน้อยลงแต่อย่างใดในปี 2561 ที่กำลังจะมาถึงนี้ เนื่องจากมีคนจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัววางแผนทริปสายสุขภาพในปี 2561 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (จากเดิมที่มีจำนวน 1 ใน 10 ในปี 2560 เพิ่มเป็นเกือบ 1 ใน 5 ในปี 2561)
กิจกรรมที่ได้ออกกำลังกายและดูแลสุขภาพไปพร้อมๆ กันที่ติดอันดับต้นๆ ในแผนเดินทางปี 2561 ได้แก่ สปาหรือทรีทเมนต์ความงาม (ร้อยละ 33) ปั่นจักรยานเที่ยว (ร้อยละ 24) กีฬาทางน้ำ (ร้อยละ 22) พักผ่อนทำดีท็อกซ์ร่างกาย (ร้อยละ 17) เล่นโยคะ (ร้อยละ 16) วิ่ง (ร้อยละ 16) และทำสมาธิ/สงบจิตใจ (ร้อยละ 15) โดยผู้เดินทางกว่าร้อยละ 59 กล่าวว่าการได้สัมผัสประสบการณ์ตามที่กล่าวมานั้นสำคัญ มากกว่าการครอบครองวัตถุจากการพักผ่อนเสียอีก
6.ตระหนักเรื่องการเงิน
ทุกๆ ปี ผู้เดินทางต่างมีทักษะในการจัดการด้านการเดินทางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการจัดสรรค่าใช้จ่ายให้คุ้มค่าที่สุด เรียกได้ว่ามีผู้เดินทางจำนวนมากที่ตัดสินใจเรื่องทริปโดยอิงจากงบประมาณเป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ในปี 2561 ผู้เดินทางจะยิ่งให้ความสำคัญต่อการจัดสรรเรื่องเงินมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยผู้เดินทางเกือบครึ่ง (ร้อยละ 47) จะคำนึงถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศด้วยเมื่อวางแผนการเดินทางในแต่ละปี และอีกเกือบครึ่ง (ร้อยละ 48) จะดูข่าวสารสภาพเศรษฐกิจของจุดหมายปลายทางก่อนตัดสินใจเดินทาง
เมื่อผู้เดินทางรู้สึกมั่นใจกว่าที่จะทำอะไรตามสัญชาตญาณของตนเอง เทรนด์การเดินทางตามกระแสคนหมู่มากเลยไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยผู้เดินทางมากกว่าครึ่ง (ร้อยละ 57) นั้นต้องการท่องเที่ยวแบบอิสระตามใจตัวเองมากขึ้นในปี 2561 แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะท่องเที่ยวในแบบของตนเองที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อเสนอดีที่สุดแล้วนำมาจัดรวมเป็นแพ็กเกจเดินทางในแบบฉบับของตนเอง โดยอาศัยการใช้แอปพลิเคชั่นและเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วย
7.ออกเดินทางสุดเหวี่ยงกับผองเพื่อน
ปี 2561 เป็นปีสำหรับการเตรียมพร้อมวางแผนเรื่องทั้งหลายเพื่อออกเดินทางเป็นกลุ่ม เมื่อสอบถามผู้เดินทางว่าจะออกเดินทางพร้อมใครบ้างในปีหน้า คำตอบที่มีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นมากที่สุด เมื่อเทียบกับปี 2560 คือการออกเดินทางท่องเที่ยวพร้อมกลุ่มเพื่อน โดยเพิ่มจากเดิมที่ร้อยละ 21 เป็นร้อยละ 25
การท่องเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนถือได้ว่าเป็นการเข้าสังคมอย่างเต็มที่ที่สุดที่จะช่วยให้ได้หลบหนีจากความกดดันที่พบในชีวิตประจำวัน คลายความเครียด และสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนๆ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันที่ทำให้โลกอยู่เพียงแค่ปลายนิ้วเรา จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่เหล่าผู้เดินทางแบบกลุ่มจะค้นหาที่พักสุดเพอร์เฟคท์ สำหรับออกไปสำรวจและผจญภัยในทั่วทุกมุมโลกกับกลุ่มเพื่อนอีกทั้งทริปเดินทางพร้อมกลุ่มเพื่อนนั้นมีข้อดีในเรื่องของเงินงบประมาณ โดยผู้เดินทาง 4 ใน 10 (ร้อยละ 42) กล่าวว่า การพักผ่อนร่วมกับเพื่อนๆ เป็นการเปิดโอกาสให้ได้เลือกที่พักที่ราคาสูงขึ้น ซึ่งปกติหากมาคนเดียวอาจมีงบไม่พอ
8.อยู่อย่างคนท้องถิ่น (แต่ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกัน)
ในปี 2561 บ้านพักให้เช่าระยะสั้นจะได้รับความนิยมอย่างแน่นอน ไม่ใช่เฉพาะในฝั่งของผู้เดินทางที่มองหาที่พักสำหรับทริปเท่านั้น แต่ในฝั่งของเจ้าของบ้านพักที่อยากเปิดโอกาสให้ผู้อื่นมาพักด้วยเช่นกัน โดยผู้เดินทาง 1 ใน 3 (ร้อยละ 33) กล่าวว่าอยากพักที่สถานตากอากาศ (บ้านพักตากอากาศหรืออพาร์ตเมนต์) มากกว่าพักที่โรงแรมแบบทั่วไป และ 1 ใน 5 (ร้อยละ 21) ก็มีแผนจะเปิดบ้านพักของตนเองให้จองออนไลน์บนเว็บไซต์ด้านที่พักและการเดินทางในปีหน้า
เมื่อเอ่ยถึงบทบาทของโฮสดูแลที่พัก ผู้เดินทางต่างเผยว่าโฮสไม่จำเป็นต้องอยู่กับพวกเขาตลอดเวลา แต่หากอยากสัมผัสประสบการณ์อย่างคนท้องถิ่นก็จะสอบถามโฮส โดย 1 ใน 4 (ร้อยละ 25) กล่าวว่าข้อสำคัญคือโฮสควรมีความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่นเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องอาหารและสถานที่น่าสนใจ แต่ในขณะเดียวกันผู้เดินทางก็ต้องการความยืดหยุ่นสำหรับสร้างปฏิสัมพันธ์กับโฮสตามที่ตนเองสะดวก